วันที่โลกทั้งใบมิได้ตั้งราคา

วันที่โลกทั้งใบมิได้ตั้งราคา


ตะวันแดงทอแสงอุ่น ปลุกเร้าสรรพชีพสรรพสัตว์ให้ออกมารับ
เช้าวันใหม่อย่างเริงร่า นกพิราบฝูงหนึ่งบินโฉบเฉี่ยวไปมาราว
กับว่าเรียกหาไออุ่นให้ตนเอง แสงแดดอุ่นเรียกเอาแม้กระทั่ง
"เจ้าแห่งสันติภาพ"เยี่ยงนกพิราบ ให้มาร่วมกิจกรรมยามเช้า
กับเขาได้ นกเขาคู่ส่งเสียงกรุ๊กๆกรู๊ รับกันอยู่ใกล้ๆนกกระจอก
ฝูงใหญ่จ๊อกแจ๊กจอแจคล้ายกับหารือกันว่า "วันนี้จะไปไหนกัน"
นกเอี้ยงคู่หนึ่งเจรจากันบนยอดไม้ คุยกันไปออกท่าทางอย่าง
รื่นรมย์

แถวนี้มีนกเอี้ยงหลายสิบตัว เป็นที่น่าสังเกตุว่าเขาชอบบินไป
เป็นคู่ๆ โผไปโผมาทำท่าทางแปลกๆก่อนที่จะเดินกระย่องกระ-
แย่งไปจิกกินกล้วยน้ำว้าสุกที่พาดคาอยู่ข้างรั้ว เจ้านกเอี้ยงน้อย
กินนิดหน่อยก็บินจากไป เปิดฌอกาสให้เพื่อนนกตัวใหม่มากิน
บ้าง

นกมันไม่ได้โลภมาก กักตุนและหวงแหน เช่นมนุษย์บางพวกบาง
เหล่า ผมว่าการปลูกกล้วยไว้ให้นกให้หนูได้กิน บางทียังดีกว่าปลูก
ขึ้นไว้ขาย เพราะอย่างน้อยมันก็ยังให้คุณค่าทางใจ และช่วยให้โลก
ได้รื่นรมย์และมีสีสันสดใส ในวันที่เรายังพอมีเวลาทอดสายตามอง
ดูความเป็นไปของโลก นกกินแล้วมันไม่ได้ทิ้งเปลือกเรี่ยราด ไม่ได้
ตัดรากโค่นล้มหรือทำลายล้าง และที่สำคัญมันไม่ได้เก็บไว้เพื่อเก็ง
กำไร และเห็นว่าใครๆเป็นเหยื่อที่ตนจะฉกฉวยเอาผลประโยชน์ เพราะ
นกคงไม่เคยนึกถึงหลักของ"การตลาด"

ต่างจากโลกของมนุษย์ในปัจจุบัน ที่ต่างเห็นกันและกันเป็นเหยื่อ คบ
กันไม่เพื่อสิ่งใดก็สิ่งหนึ่ง เพราะเราอยู่ในโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยเรื่อง
การตลาด ทุกอย่างเป็นเรื่องของการค้าขาย นับตั้งแต่ข้างของเครื่อง
ใช้ที่นับเนื่องในปัจจัยสี่ ความรู้ ความบันเทิง แต่ข่างสารที่เราเสพกัน
ทุกวันในแทบทุกสื่อนั้น จะมีสักกี่'สาร'กันเชียวที่เขา'สื่อ' เพื่อให้ผู้คน
ได้'รับสาร'อย่างตรงไปตรงมา ไม่แอบแฝงธุรกิจ หรือโฆษณาชวนเชื่อ
เพื่อล้วงเอาเงินในกระเป๋าของผู้บริโภคข่างสารนั้นอย่างซึ่งๆหน้าเยี่ยง
ในทุกวันนี้

เคยมีคนมาขอซื้อกล้วยน้ำว้าที่อาศรมครั้งหนึ่ง วันนั้นผมให้เขาไป
เลือกตัดเอาตามสบาย เขาตัดไปจนเต็มคันรถแล้วให้เงินมา ๑๐๐ บาท
ผมมองตามกล้วยน้ำว้าแทบน้ำตาเล็ด รู้สึกสงสารมันอย่างจับใจ ทำไม
เขาตี'ราคา'ให้มันน้อยเกินไป ทั้งที่มันมี'คุณค่า'เหลือคณานับในสายตา
ของผม นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา ผมก็ไม่เคยคิดจะขายกล้วยน้ำว้าให้
ใครอีกเลย ผมเก็บไว้ให้ผู้คนที่ผ่านไปผ่านมาได้เด็ดกินเครือต่อเครือ
ไม่เคยขาด ที่เหลือกินก็ทิ้งไว้ให้สุกคาต้นให้นกให้หนู หรือกระรอกน้อย
มาคอยชิมบ้าง บางคราก็เก็บมาให้สุนัข ไก่ และวัวในอาศรมซึ่งมี
ร่วมสิบตัว ได้ลิ้มโอชารสของมันบ้าง ทำเยี่ยงนี้ยังดีกว่าเอาไปตีราคา
ให้เป็นเงินเพราะคุณค่าของมันมีมากยิ่งกว่าราคา ที่นักการตลาดผู้ชาญ
ฉลาดเขาจะมองเห็น

ผมว่าบางที'กล้วย' กับ'คน' ก็ไม่ต่างกันในแง่ของ'คุณค่า' คนบางคน
มีคุณค่ามากมายเหลือคณานับ หากเขารู้จักค้นหาคุณค่าในตัวของตัว
เอง และลงมือทำในสิ่งที่เขารัก และอยากจะทำเสียแต่วันนี้ เพราะมนุษย์
เป็นสัตว์พิเศษที่ฝึกได้และทำอะไรได้มากมายเกินกว่าที่คนส่วนใหญ่จะ
คาดถึง แต่คนบางคนก็พอใจที่จะอยู่ไปอย่างไร้คุณค่า หรือไม่ก็ตีราคา
ตนเองเป็นเพียงเงินไม่กี่สตางค์เท่านั้นเอง...ฯ

~ขอขอบคุณบทความจากคุณเสกศิลป์ วิชญางกูร~

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์