วิธีการดับทุกข์เพราะ...เพื่อน

วิธีการดับทุกข์เพราะ...เพื่อน




สมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ นิคมของชาวศักยะ ในแคว้นสักกะ
ครั้งนั้นท่านพระอานนท์ ได้เข้าไปเฝ้าแล้วกราบทูลพระพุทธองค์ว่า

"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ความเป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี และมีเพื่อนที่ดีนั้น
นับว่าเป็นครึ่งหนึ่ง ของพราหมจรรย์ทีเดียวนะ พระเจ้าข้า"

พระพุทธองค์ ได้ตรัสค้านขึ้นว่า

"พระอานนท์ ! เธออย่าได้พูดอย่างนั้น เธออย่าได้กล่าวอย่างนั้น
ก็ความเป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี และมีเพื่อนที่ดีนั้น
นับว่าเป็นพราหมจรรย์หมดทั้งสิ้นทีเดียว

อานนท์ ! อันภิกษุผู้มีมิตรดี มีสหายดี และมีเพื่อนที่ดีก็เป็นอันหวังได้แน่นอนว่า
จะได้เจริญอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘
จะกระทำให้มากซึ่งอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘…."

(อุปัฑฒสูตร ๑๙/๒)


......................................................

ได้ยกเอาพระสูตรสำคัญที่สุด ที่พระพุทธองค์ได้ตรัสคัดค้านพระอานนท์
ที่กราบทูลว่า การมีเพื่อนดี เป็นเพียงครึ่งหนึ่งของพรหมจรรย์เท่านั้น
แต่พระพุทธองค์ทรงเห็นว่าเป็นทั้งหมดที่เดียว

ข้อนี้เป็นที่รับรองของท่านผู้รู้ อย่างชนิดไม่ต้องสงสัยเลย
เพราะมีสุภาษิตรับรองอยู่ทั่วไป เช่น คนคนเช่นใด ย่อมเป็นเช่นคนนั้น
คบคนเลวย่อมเลวตาม และคบคนดีย่อมดีขึ้นในทันที เป็นต้น

ในมงคล ๓๘ ท่านจึงได้วาง หรือจัดวางไม่คบคนพาล ไว้เป็นข้อแรก
และจัดการคบกับบัณฑิตไว้เป็นข้อที่ ๒
ทั้งนี้ก็เพราะการคบเพื่อนเหมือนกับการเริ่มต้นของการเดินทาง
การคบเพื่อนที่ไม่ดี ก็เหมือนการเดินทางผิด ยิ่งเดินก็ยิ่งผิด
ทางที่ถูกก็คือ ต้องตั้งต้นเดินใหม่ นั่นคือการเลือกคบแต่คนดี


ปัญหามีต่อไปว่า เราจะรู้ได้อย่างไรว่า เพื่อนคนไหนดีหรือไม่ดี ?
การคบกันใหม่ ๆ ย่อมจะดูยาก ไม่เหมือนการดูสัตว์บางประเภท
เช่น เสือมันก็ยังมีลายหรือสีที่ขนพอให้แยกได้ว่า
เป็นเสือหรือสัตว์ประเภทอะไร ? เป็นต้น

การดูคนดีหรือชั่ว เรามีจุดที่จะดูอยู่ ๓ จุด
คือ ที่กาย วาจา และที่ใจของเขา
โดยมีศีลและธรรม เป็นมาตรวัดดังนี้


ทางกาย ๔ คือ
– ไม่ฆ่าสัตว์ – ไม่ลักทรัพย์ – ไม่ประพฤติผิดในกาม
และ – ไม่ดื่มสุราเมรัย

ทางวาจา ๔ คือ
- ไม่พูดปด – ไม่พูดคำหยาบ – ไม่พูดส่อเสียด และ – ไม่พูดเพ้อเจ้อ

ทางใจ ๓ คือ – ไม่โลภอยากได้ในทางที่ผิด
- มีจิตเมตตาไม่ปองร้ายหรือพยาบาท
และ – มีความเห็นชอบและถูกต้องตามทำนองคลองธรรม


มีข้อที่ดูยากก็คือทางใจ แต่ก็พอจะดูได้
เพราะเมื่อใจคิดแล้ว มักก็ต้องพูดหรือทำ ไม่ช้าก็เร็วออกมาจนได้
การคบกันนาน ๆ จึงจะรู้ธาตุแท้หรือสันดานของคนได้แท้จริง


ในอกิตติชาดก (๒๗/๓๓๗) ท่านแนะให้ดูคนพาล
หรือคนชั่วที่ ๕ จุด นับว่าเข้าทีและเป็นไปได้ คือ
- คนพาลชอบชักแนะนำในทางที่ผิด
- คนพาลมักชอบทำในสิ่งที่ไม่ใช่ธุระหน้าที่ของตน
- คนพาลมักจะเห็นผิดเป็นชอบ
- คนพาลแม้เราหรือใคร ๆ พูดดี ๆ ก็โกรธ
- คนพาลไม่ยอมรับรู้ระเบียบวินัยหรือกฎหมาย

เป็นอันว่า เราได้ทั้งหลัก และแนวทางของการดูคน ว่าดีหรือชั่วแล้ว
ทีนี้ก็อยู่ที่ว่า เราจะเลือกคบกันคนดี หรือคนชั่ว
ถ้าเราเลือกคบคนดี และนึกรังเกียจคนชั่ว ก็แสดงว่าพื้นจิตของเรามีสัมมาทิฐิ

แต่ถ้าจิตของเรา เกิดเห็นกงจักรเป็นดอกบัว คือเห็นผิดเป็นชอบ
รังเกียจคนดี แส่เที่ยวหาคบแต่คนชั่ว
ก็แสดงว่าพื้นจิตของเราเป็นมิจฉาทิฐิ นับว่าเป็นอันตรายมาก
ควรรีบแก้ไขเสียโดยด่วน ถ้าขืนปล่อยไปตามนั้น
อนาคตที่มองเห็นก็คือ ไม่ตายตอนแก่แน่ ๆ
ขนาดเบาก็มีคุกเป็นบ้านถาวร


คนเราเป็นสัตว์สังคม จึงจำเป็นต้องคบหาเพื่อนฝูง
ไม่มีเพื่อนมากก็ต้องมีน้อย เพราะไม่มีใครจะอยู่คนเดียวในโลกได้

การคบเพื่อนที่ดี ย่อมจะนำแต่ความสุข และความเจริญมาให้
ในทางตรงข้าม ถ้าคบเพื่อนชั่วหรือพาล
ย่อมจะนำแต่ความทุกข์เดือดร้อน และความเสื่อมนานาประการมาให้

ดังนั้น ใครมีเพื่อนที่ดีอยู่แล้ว ก็ควรจะถนอมน้ำใจ
ด้วยการปฏิบัติตาม "สังคหวัตถุ ๔" อย่างสม่ำเสมอ
ก็ย่อมจะผูกน้ำใจเพื่อนที่ดี ไว้ได้ตลอดกาล

ถ้ามีเพื่อนเป็นคนชั่ว ก็ควรเร่งถอนตัว ตีจากเสียให้เร็จที่สุด
เพื่อป้องกันทุกข์ภัย ที่จะมีในปัจจุบัน และในอนาคต

ทางแก้

๑. พิจารณาให้เห็นโทษ ของการคบกับคนชั่ว
และคุณของการคบกับคนดี อย่างแจ่มแจ้งชัดเจน
และต้องตัดใจเลิกคบกับคนชั่วให้ได้ด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น

ก. เลิกคบกันทันทีทันใด ถ้าคิดว่าทำแล้วจะไม่เกิดมีทุกข์หรือภัยตามมาภายหลัง

ข. ค่อย ๆ แยกหรือปลีกตัวออกมา โดยที่ไม่ให้เขารู้ตัว

ค. ตัดสายสัมพันธ์ ที่เป็นสื่อเชื่อมโยงออกให้หมด

๒. ถ้าอยู่โรงเรียนเดียวกัน หรือทำงานร่วมกัน
ก็อาจขอย้ายห้อง ย้ายโรงเรียน หรือเปลี่ยนงานใหม่ ก็แล้วแต่กรณี

๓. ย้ายบ้าน อย่าอยู่ใกล้ชิดกันอีกต่อไป

๔. เลือกคบหาคนดีไว้ทดแทน
เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคมไม่อาจจะอยู่โดดเดี่ยวได้


เป็นธรรมดาอยู่เอง เมื่อเราคบกับคนชั่ว คนดีก็ย่อมรังเกียจไม่คบหาด้วย
และเมื่อเราเลิกคบกับคนชั่ว คนดีก็ย่อมคบหาด้วย
อย่ากลัวเลยว่า จะหาคนดีคบไม่ได้
ขอแต่ว่าให้เราเป็นคนดีจริง ๆ เถอะ
อย่าเป็นคนประเภท "ปากปราศรัย น้ำใจเชือดคอ" ก็แล้วกัน

ทุกวันนี้ โลกเราหนาแน่นไปด้วยคนมีความรู้
มีดีกรีสูงแต่ขาดแคลนคนดีหรือบัณฑิต (ผู้มีปัญญา) ยิ่งนัก.


ที่มา..."บันทึกธรรม ฉบับดับทุกข์" เรียบเรียงโดย ธรรมรักษา

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์