หนึ่งชายสองหญิง รักจริงแค่ไหน..

หนึ่งชายสองหญิง รักจริงแค่ไหน..

     ในสมัยพุทธกาลนั้น มีอุบาสกคนหนึ่งเป็นคนดีมีความกตัญญูต่อบิดามารดาเป็นอย่างยิ่ง หลังจากที่บิดาถึงแก่กรรมแล้ว เขาก็เลี้ยงดูมารดาเป็นอย่างดีให้มีความสุข ด้วยมีความตั้งใจว่า เมื่อมารดาถึงแก่กรรมเขาก็จะออกบวชเป็นสมณะในพระพุทธศาสนา แต่มารดามีความรักบุตรเป็นอย่างยิ่ง ปรารถนาให้บุตรของตนมีภริยาช่วยกิจการงานในครอบครัว จึงบอกกับลูกว่า จะหาหญิงดี มาแต่งงานกับลูก ลูกก็ไม่ขัดใจแม่ ตามใจแม่ ต่อมาจึงได้แต่งงานกับหญิงที่แม่จัดหาให้
     หญิงนั้น แต่แรก เป็นสะใภ้ใหม่ ได้ประพฤติตนเป็นลูกสะใภ้ที่ดี ปรนนิบัติดูแลแม่สามีอย่างดี แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป หญิงนั้น เห็นว่า สามีรักเธอมาก เมื่อกลับมาบ้าน ก็จะเอาอาหารรสชาติอร่อยๆ มาให้เธออยู่เสมอๆ มีข้าวของเครื่องใช้ดีๆ ก็จะเอามาให้เธอแต่เพียงผู้เดียว เธอก็เข้าใจไปว่า ชะรอย...สามีของเราจะเบื่อแม่แล้วกระมัง เมื่อมีอะไรดีๆ จึงไม่ได้เอาไปให้แม่ แต่เอามาให้เราแต่เพียงผู้เดียว เธอจึงมีแผนชั่วเกิดขึ้นในจิตใจ นั่นคือ แผนชั่วที่คิดจะกำจัดแม่สามีออกไปให้พ้นทาง 

     (เฮ้อ...ทำไมต้องเป็นอย่างนี้ด้วยนะ..ไม่รักษาความดีให้ตลอดรอดฝั่ง เธอไม่รู้ใจสามีเลยเหรอว่า เขาไว้ใจเธอ เห็นว่าเธอเป็นแม่ศรีเรือน ดูแลบ้าน ดูแลแม่เป็นอย่างดี ...กลับคิดอย่างนี้ไปได้...)

     เมื่อคิดดังนั้น เธอจึงเริ่มต้นหาเรื่องใส่ร้ายแม่สามีไม่ได้หยุดไม่ได้หย่อน...เช่นเวลาจัดเตรียมน้ำให้แม่สามีอาบก็เอาน้ำร้อนไปบ้าง น้ำเย็นจัดบ้าง มารดราดบนตัวแม่สามี เมื่อแม่สามีบอกว่า น้ำมันร้อนไป หรือ เย็นไป เธอก็บอกสามีว่า แม่บ่นเก่ง ต่อมาเมื่อแม่สามีบอกเธอว่า ...ลูกเอ๋ย...ที่นอนที่แม่นอนน่ะ มันมีตัวเรือดเต็มไปหมด ตัวเรือดมันกัดแม่ แม่นอนไม่ได้ตลอดคืนเลย ลูก..ช่วยเอาที่นอนของแม่ไปเคาะไล่ตัวเรือดหน่อยเถิดจ้ะ.... 

     เธอก็ช่วยด้วยการ เอาที่นอนของเเม่สามีมาที่ห้องของเธอ และเอาที่นอนของเธอที่มีตัวเรือดเหมือนกัน มาเคาะใส่ที่นอนของแม่สามี แล้วเธอก็เอาที่นอนของแม่สามีไปคืน พอแม่สามีนำที่นอนไปนอน ก็ถูกตัวเรือดรุมกัดหนักกว่าเดิมเสียอีก

           (ทำได้... ไม่คิดถึงบาปบุญคุณโทษ ใจเขาใจเรา ไม่แก่บ้างให้รู้ไป...)

     ต่อมา เธอก็หาเรื่องหนักกว่าเดิมอีก ก็คือ เธอเที่ยวถ่มน้ำลาย ขากเสลด ไปทั่วบ้าน เมื่อสามีกลับมาบ้านเห็นเข้า สามีก็ถามว่า นั่นน้ำลาย เสลดของใคร เต็มบ้านไปหมด ( ... แหม ..ถามเข้าทาง ) เธอก็ใส่ความว่า อ๋อ...พี่จ๋า ก็แม่ของพี่น่ะสิจ๊ะ เที่ยวถ่มน้ำลาย ขากเสลดไปทั่วบ้าน น้องห้ามเท่าไหร่ก็ไม่ฟัง ....แม่พี่เนี่ยทั้งขี้บ่น ทั้งบอกยาก บอกอะไรก็ไม่เชื่อ......

     แล้วเธอก็บอกต่อไปว่า ...... แม่พี่เนี่ยทำตัวไม่น่ารักเลย น้องเห็นที..จะอยู่ร่วมชายคาเดียวกับแม่พี่ไม่ไหวหรอกจ้ะ ...น้องขอให้พี่เลือกเถอะนะ..ว่าพี่จะอยู่กับใคร จะอยู่กับแม่ หรือ จะอยู่กับน้อง....
สามีได้ฟังแล้ว ก็ประมาณว่า อึ้งกิมกี่ ไปสักพัก....หลังจากนิ่งเงียบ ชั่งใจอยู่พักหนึ่ง เขาก็บอกกับภริยาว่า ...ถ้าหากเป็นเช่นนั้น พี่เห็นทีจะต้องตัดสินใจ...น้องเองก็ยังสาว ยังสวยอยู่ ยังมีบ้านคุณพ่อคุณแม่อยู่ แต่แม่ของพี่แก่ชรามากแล้ว แล้วก็ไม่มีลูกหลานที่ไหน จะมาดูแล .... เมื่อเป็นเช่นนี้ น้องก็ย้ายกลับไปอยู่บ้านของน้องเถิด พี่ไม่อาจไปกับน้องได้หรอก พี่รัก และ ห่วงแม่มาก ขออยู่ปรนนิบัติแม่ต่อไปที่นี่ต่อไป...เมื่อแม่พี่หาชีวิตไม่แล้ว พี่ก็จะหันหน้าเข้าวัดบวชจ้ะน้อง.... 

     เมื่อเธอได้ฟังคำตอบจากสามีเช่นนี้ อาการเข็มขัดสั้นได้เกิดขึ้น(คาดไม่ถึงว่าจะเป็นจังซี่) คิดไม่ถึงว่าจะเป็นอย่างนี้ หน้าซีด ปากสั่น เกือบจะเป็นลม เมื่อเห็นสามีเด็ดเดี่ยวเอาจริง เธอจึงรู้สึก สำนึกตัว รีบกราบขอโทษแม่สามี และขอโทษสามี พร้อมทั้ง เริ่มต้นทำตัวใหม่ ให้ดีกว่าเดิม และได้คิดว่า ความดีคืออะไร ต้องทำตัวอย่างไร หลังจาก เป็นกระทงหลงทางไปสักพัก เธอก็ได้คิด....ทำตัวใหม่ ให้ครอบครัวมีความสุข.....

     พระภิกษุ ในธรรมสภาได้ปรารภถึงเรื่องนี้ เมื่อพระพุทธองค์ทรงทราบเรื่อง ท่านได้ตรัสว่า อุบาสกผู้นี้ ในชาตินี้ เป็นผู้หนักแน่น ไม่เชื่อฟังคำยุแหย่ของภริยา แต่ในชาติก่อนนั้น จะเป็นเช่นนี้ก็หาไม่ พระภิกษุ จึงทูลอาราธนาให้พระพุทธองค์เล่าเรื่องราวแต่ชาติปางก่อนให้ฟัง เรื่องมีดังนี้...

     ในชาตินั้น เหตุการณ์ก็ดำเนินมาเหมือนเหตุการณ์ในตอนต้นที่เล่ามาแล้ว แต่ในตอนที่ ภริยายื่นคำขาด ให้สามีเลือก ว่าจะอยู่กับใคร ...จะเอาเมีย หรือ จะเอาแม่...ว่างั้นเถอะ...ในชาตินั้น สามีผู้นี้ เชื่อถ้อยคำของภริยา จนไม่มีความสงสารมารดาเหลืออยู่ ความกตัญญูหายไป...เขาออกปากขับไล่แม่ออกไปจากบ้านเสียเอง...

     มารดาที่น่าสงสาร ...ชอกช้ำทั้งใจทั้งกาย ...โซซัดโซเซออกจากบ้าน...ไปอาศัยบ้านของเพื่อนอยู่ ต่อมาไม่นาน ลูกสะใภ้ตั้งครรภ์ แล้วเที่ยวป่าวประกาศว่า....นี่เจ้าข้าเอ๊ย...ฉันตั้งท้องแล้ว เนี่ยพอแม่สามีออกจากบ้าน ฉันก็ตั้งท้อง แม่สามีเนี่ยเป็นหญิงกาลกิณ๊ ตอนนางอยู่ในบ้าน ฉันก็ไม่ตั้งท้อง พอออกไปเท่านั้นแหละ ฉันโชคดีมีท้องแล้ว.....นางเที่ยวประกาศไปทั่ว จนเข้าหูแม่ที่น่าสงสาร 

     เมื่อแม่ได้สดับข่าว นางก็เสียใจ ได้ทำการกราบไหว้เทวดาฟ้าดิน และบอกว่า นางไม่เชื่อว่า ธรรมะ ยังคงมีอยู่ในโลก ทำไม ลูกสะใภ้ชั่วถึงได้ดี แต่นางผู้เป็นทั้งแม่ และ แม่สามีที่ประเสริฐ เมตตาแก่ลูกๆ กลับได้รับเคราะห์กรรมถึงเพียงนี้ 

     จิตของนาง ....วาจาของนางเปล่งกล่าวไปก้อง ร้อนถึงอาสน์ขององค์อินทร์ผู้เป็นใหญ่ในชั้นฟ้า ต้องส่องทิพยเนตรมาดูความจริง เห็นเช่นนั้น จึงคิดช่วยนาง ให้เห็นว่า ธรรมะยังมีอยู่ในโลก

     เมื่อลูกสะใภ้คลอดบุตร พระอินทร์ได้ดลใจให้นางได้เห็นสัจจะ นางได้สัมผัสถึง ความเป็นแม่ ดวงใจของแม่ที่มีต่อบุตรเป็นเช่นไร...ทำให้นางได้ย้อนระลึกถึง แม่ของสามี และได้เห็นว่า นางได้ทำความไม่ดีไว้มากมายเพียงใด....เมื่อสำนึกเช่นนี้ นางจึงได้เล่าความจริงทั้งหมดให้สามีฟังว่าความจริงทั้งหมดเป็นเช่นไร นางได้ใส่ความแม่สามีมากมายอย่างไร ....สองสามีภรรยา กอดคอกันร้องไห้ด้วยความสำนึกผิด ก็เลยพากันออกตามหาแม่... 

     สามีภรรยาอุ้มลูกน้อย ออกไปตามหาแม่ เมื่อพบแม่แล้ว ได้ก้มกราบที่เท้าแม่ด้วยน้ำตานองหน้า ...แม่จ๋า แม่ ลูกผิดไปแล้ว....ได้วิงวอนขอร้องให้แม่กลับไปอยู่ด้วยกันดังเดิม ...หัวใจแม่แสนจะเมตตา และให้อภัย เมื่อเห็นลูกสำนึกผิด รู้ดีรู้ชั่ว แม่ก็ให้อภัย... 

     ทั้งหมดพากันกลับบ้าน และอยู่ร่วมกันด้วยสันติสุขตลอดมา...

ใครหนอ รักเราเท่าชีวี ใครหนอ ปรานีไม่มีเสื่อมคลาย
ใครหนอ รักเราใช่เพียงรูปกาย รักเขาไม่หน่ายมิคิดทำลายใครหนา
ใครหนอเห็นเราเศร้าทรวงใน ใครหนอเอาใจปลอบเราเรื่อยมา
ใครหนอ รักเราดังดวงแก้วตา รักเขากว้างกว่า พื้นพสุธานภากาศ....

     ความรักย่อมไม่แบ่งแยก มาช่วยกันรัก ...มาช่วยกันสามัคคี ทำให้ครอบครัวเรามีความสุข พลังหญิงเป็นพลังสำคัญ ทั้งแม่ทั้งเมียเป็นขวัญกำลังใจของผู้ชาย ทำอย่างไรให้ประสานน้ำใจกันได้ จะได้อยู่กันอย่างเป็นสุข ....ต้องมีธรรมประจำใจ เป็นคำตอบสุดท้าย....ถูกต้องแล้วครับ - ค่ะ ...

ที่มา : กัจจานิชาดก

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์