หายโกรธแต่ไม่คบต่อ แปลว่ายังไม่อภัยจริงใช่ไหม?

หายโกรธแต่ไม่คบต่อ แปลว่ายังไม่อภัยจริงใช่ไหม?

คนเราถ้าไม่น่าคบก็ไม่ควรคบ
อย่าไปโยงให้เกิดความสับสน
กับการอภัยได้จริงหรือไม่จริง
แม้พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้
ไม่ควรคบคนพาลเป็นมิตร
เพราะพาลมีหน้าที่พาลงเหว
หรือถ้าหวังความเจริญทางสมาธิ
ก็พึงหลีกเลี่ยง
อย่าเสพสมาคมกับบุคคลฟุ้งซ่าน
เพราะจิตที่ฟุ้งซ่าน
ย่อมเหนี่ยวนำให้จิตอื่นฟุ้งซ่านตาม
นั่นแปลว่า ตามมุมมองของพุทธ
มีคนบางคน ที่เราไม่พึงคบ
หรือกระทั่งควรเลิกคบไปเลย
เพราะเมื่อคบแล้ว มีแต่เสียกับเสีย
มีการเบียดเบียนมากกว่าเกื้อกูลกัน
หรือรังแต่จะก่อให้เกิดอกุศลธรรม
ทั้งฝ่ายเราและฝ่ายเขา
พูดง่ายๆคือ มุมมองแบบพุทธนั้น
ไม่สนับสนุนให้ทนคบกับใคร
เพียงเพื่อจะได้เป็นเครื่องวัดว่า
เราได้ให้อภัยแล้ว ไม่ติดใจถือสาแล้ว
อีกประการหนึ่ง
การ ‘ไม่คบ' ก็ไม่ได้หมายความว่า ‘ไม่พูด'
จริงๆแล้วแม้เลิกคบ
ก็ยังถนอมน้ำใจกันได้
มีอะไรให้ช่วยก็ช่วยได้
เพียงแต่ไม่ไปสุงสิง
ไม่ควรคลุกคลีตีโมง
กระทั่งก่อให้เกิดความคิดอกุศลซ้ำซาก
ท้ายที่สุด ต้องหยุดสำรวจใจดีๆว่า
ที่อั้นไว้ ไม่คบต่อ
เป็นเพราะสันดานเขาไม่ดี
หรือว่าเรามีทิฐิมานะมากกันแน่
ถ้าคิดดีๆแล้วเป็นเรื่องของทิฐิมานะ
ก็ต้องสังเกตว่า
การคืนดีกันจัดเป็นความสุข
เป็นความโล่งใจ เป็นการคืนความสว่าง
เพราะลดทิฐิมานะได้ครั้งหนึ่ง
ถ้าเห็นข้อดีในการประสานรอยร้าว
แต่ยังอัดแน่นด้วยทิฐิมานะ
เช่นนี้จึงกล่าวได้ว่าอภัยไม่จริง

เพราะการอภัยจริงครอบคลุมถึงการลดทิฐิมานะด้วย

หายโกรธแต่ไม่คบต่อ แปลว่ายังไม่อภัยจริงใช่ไหม?

ขอบคุณ Dungtrin FB


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์