อำนาจกรรม

อำนาจกรรม : หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ

อันวิถีชีวิตของคนเราตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่ทรงแสดงไว้แล้วนั้น 
ข้อที่ว่า "สุโข ปุญฺญสฺส อุจโย การสั่งสมบุญนำมาซึ่งความสุขดังนี้" 
นี่เป็นเครื่องส่อแสดงให้เห็นแล้วว่า บุคคลที่จะได้ประสบความสุขในขั้นใดๆก็ดี 
นับแต่ขั้นต่ำนี้แหละขึ้นไป จนถึงขั้นสูงสุดคือ พระนิพพาน 
ก็เพราะอาศัย "การสั่งสมบุญ" นี้เอง ตามพระพุทธภาษิตนี้ 

ทีนี้ตรงกันข้ามนะ "ทุกฺโข ปาปสฺส อุจโย การสั่งสมบาปนำมาซึ่งความทุกข์" 
นี่ก็เป็นอันได้ความว่า บรรดาความทุกข์ทั้งหลาย ที่มีอยู่ในสัตว์ทั้งปวงนั้นน่ะ 
มันเกิดเพราะ "การกระทำบาป" เป็นมูลเหตุ ให้บุคคลได้เสวยทุกข์ทนทรมาน 
มากบ้างน้อยบ้างตามกำลังแห่งบาปกรรมที่บุคคลกระทำนั้น 
ไม่ใช่สิ่งอื่นมาทำให้คนเราเป็นทุกข์อย่างที่ความเห็นของลัทธิอื่น 
ซึ่งมีความเห็นว่า มีเทวดามาลงโทษเอาบ้าง มีท้าวมหาพรหมมาลงโทษเอาบ้าง 
อย่างนี้นะ มีพวกภูตผีปีศาจมาลงโทษเอาบ้าง คนบางคนเวลาเจ็บไข้ได้ป่วย 
หรือถึงซึ่งความวิบัติกะทันหันบางครั้งบางคราวอย่างนี้พวกลัทธิอื่นบางลัทธิ 
เขาก็ถือว่า ไปทำผิดพระภูมิเจ้าที่ พระแม่ธรณีอย่างใดอย่างหนึ่ง 
นี่ถูกพระภูมิเจ้าที่เล่นงานเอาแล้วไปอย่างนั้นความเห็นของลัทธิอื่น 

สำหรับใน "พระพุทธศาสนา" นี้แล้วไม่ได้ทรงแสดงอย่างนั้นเลย 
คือ พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงตรัสอย่างนั้น พระองค์ทรงตรัสว่า 
สพฺเพ สตฺตา กมฺมสฺสกา กมฺมทายาทา เป็นต้น นี่สัตว์ทั้งหลาย 
มีกรรมเป็นของของตน เป็นผู้รับผลแห่งกรรมที่ตนกระทำนั้น อย่างนี้แล้ 

เพราะฉะนั้นแหละ เราเป็นชาวพุทธนี่ไม่ควรที่จะไปสงสัยลังเลในชีวิต 
ชีวิตนี้มันเป็นมาด้วยอำนาจแห่งกรรม คือ การกระทำของตัวเอง 
ในอดีตนู่นจนมาถึงปัจจุบันนี่แหละ แล้วก็จะเป็นไปในเบื้องหน้านู้น 
ก็อาศัยการกระทำในปัจจุบันนี้แหละ จะเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ไปในเบื้องหน้าก็ดี 
ถ้าตนกระทำดี ละชั่วในปัจจุบันนี้ได้ ตนก็ไม่มีบาปกรรมอันชั่วร้ายติดตามไป 
ก็จะมีแต่บุญกรรมอันดีงามติดตามไปตกแต่งความสุขความเจริญให้ในภพในชาติต่อไป 

ถ้าหากว่า ผู้ใดบาปก็ทำ บุญก็ทำ อย่างนี้นะมันก็ติดตามไปสู่โลกหน้า 
ทั้งสองอย่างนั้นแหละ แต่ถ้าอย่างใดมีกำลังมากกว่า สิ่งนั้นก็ย่อมให้ผลก่อน 
ถ้าบุญมีกำลังมากกว่าบาปอย่างนี้นะ บุญมันก็ให้ผลก่อน พอไปเกิดในที่สุขสบาย 
เอ้า บาปมันก็ติดตามไปอยู่นั่นแหละแต่ว่ามันให้ผลยังไม่ได้ 
เพราะว่า กำลังของบุญกุศลมันเหนือกว่า มันก็ต้องให้ผลไปก่อน 
ทีนี้เมื่อหมดกำลังของบุญกุศลนั้นลงเมื่อใด บาปมันก็ให้ผลได้ทันทีเลย 
เพราะฉะนั้นเราจะสังเกตเห็นได้ว่า คนบางคนน่ะอยู่เย็นเป็นสุขมาดีๆมาอยู่นี่น่ะ 
ปุ๊บปั๊บเกิดอุบัติเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมาเลย เช่นอย่างนั่งรถไปก็รถคว่ำ 
ตายโหงกันเลยอย่างนี้นะ นี่เรียกว่า บาปกรรมที่ผู้นั้นทำมาในชาติก่อนนู้นน่ะมันได้โอกาสแล้ว 
บุญของผู้นั้นที่ทำมานั้นมันหมดลง บาปให้ผลสืบต่อ 

บาปอย่างร้ายแรงนะ ท่านเรียกว่า "อุปฆาตกรรม" น่ะ "กรรมตัดรอน" น่ะ 
มันทำลายชีวิตเอาลงในปัจจุบันทันด่วนเลย อย่างนี้แหละ 
กรรมบางอย่างที่ท่านเรียกว่า "อุปปีฬกกรรม" (อุบ-ปะ-ปี-ละ-กะ-กำ) 
กรรมอันบีบคั้นให้เจ็บให้ป่วยให้วิบัติไปทีละเล็กทีละน้อยไป 
เอ้าเจ็บป่วยลงจะมากซะจริงๆก็ไม่มาก จะหายก็ไม่หาย 
ก็ทนทุกข์ทรมานไปอยู่อย่างนั้นแหละ จะตายก็ไม่ตาย อย่างนี้แหละ 
ท่านเรียกว่า "อุปปีฬกกรรม กรรมบีบคั้น" นี่มันเป็นอย่างนั้น ต้องทบทวนดูให้ดี 

ดังนั้นแหละความเป็นมาและความเป็นอยู่ของมนุษย์เราน่ะจึงไม่เหมือนกันน่ะแหละ 
ก็เพราะว่าต่างคนต่างทำกรรมดีกรรมชั่วติดตัวมา คราวใดกรรมดีให้ผล 
ก็มีความสุขความสบายไป ถึงคราวใดกรรมชั่วให้ผลก็เป็นทุกข์ทนทรมานไป 
จนกว่าจะหมดผลแห่งกรรมชั่วเหล่านั้น ถ้าหากว่าบุญมีบุญนั้นก็จะให้ผลสืบต่อ 
ถ้าหมดบุญแล้วก็อย่างว่าก็เร่ร่อนไปตามกรรมแหละ 

... 

ส่วนหนึ่งจากพระธรรมเทศนาหัวข้อ 
"อานุภาพแห่งศีล"

อำนาจกรรม

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์