พุงใหญ่ ตายเร็ว

พุงใหญ่ ตายเร็ว


ปัจจุบัน “โรคอ้วนลงพุง” พบได้ทุกเพศ ทุกวัย เรียกได้ว่า ราศีเสี่ย ราศีเถ้าแก่เนี้ย จับกันเป็นว่าเล่นตั้งแต่เด็กไปยันผู้สูงอายุ  โดยหารู้ไม่ว่า “ยิ่งพุงใหญ่เท่าไร ยิ่งตายเร็วเท่านั้น”
 
เกี่ยวกับเรื่องนี้ นพ.โสภณ เมฆธน รองอธิบดีกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า  คนที่อ้วนลงพุงจะมีไขมันสะสมในช่องท้องปริมาณมาก ผู้ชายวัดรอบเอวได้มากกว่า 90 เซนติเมตร และผู้หญิงวัดรอบเอวได้มากกว่า 80 เซนติเมตร จัดว่า อ้วนลงพุง
 
ยิ่งรอบพุงมากเท่าไร ไข มันยิ่งสะสมในช่องท้องมากเท่านั้น และมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานมากกว่าคนไม่ อ้วนหรือไม่มีพุง  เมื่อเป็นโรคเบาหวานก็มีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดทั้งระบบหัวใจและสมองมากขึ้นอีก
ทั้งนี้เพราะ   ไขมันที่สะสมในช่องท้องจะแตกตัวเป็นกรดไขมันอิสระเข้าสู่ตับ ส่งผลให้ “อินซูลิน” ซึ่งเป็น ฮอร์โมนที่สร้างจากตับอ่อน และมีหน้าที่ควบคุมปริมาณ กลูโคสในกระแสเลือด ออกฤทธิ์ได้ไม่ดี หรือเกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน  
 
ผลเสียของการเกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน  คือ
 
1.ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง การที่น้ำตาลในเลือดสูงจะช่วยเร่งให้เกิดการอักเสบของหลอดเลือดเร็วขึ้น เพิ่มโอกาสการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดมากขึ้น 2-3 เท่าตัว
 
2.ทำให้ผนังหลอดเลือดทำงานผิดปกติ หลอดเลือดยืดหยุ่นน้อยลงเป็นสาเหตุทำให้เกิดความดันโลหิตสูง การอักเสบของหลอดเลือด และโรคเบาหวาน
 
3.ลดประสิทธิภาพของร่างกายในการละลายเลือดที่แข็งตัว เป็นที่มาของภาวะหลอดเลือดตีบตัน
 
4.ทำให้เกิดผลึกไขมันที่หลอดเลือดเร็วขึ้น นำไปสู่การเกิดหลอดเลือดตีบตันเร็วขึ้น
 
5.ทำให้ระดับอินซูลินในเลือดสูง จึงทำให้เกิดความดันโลหิตสูง และไขมันในเลือดผิดปกติ คนอ้วนแทบทุกคนมีระดับอินซูลินในเลือดสูง
 
ดังนั้นคนที่เป็นโรคอ้วนลงพุง ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ด้วยการออกกำลังกาย และ   รับประทานอาหารไขมันต่ำ น้ำตาลต่ำ ใยอาหารสูง และมีคุณค่าทางโภชนาการสูง เพื่อลดน้ำหนัก และลดรอบเอว
 
การออกกำลังกายเพื่อลดไขมันในช่อง ท้องควรปฏิบัติดังนี้
 
1.ออกกำลังกายที่ชื่นชอบ สัปดาห์ละ 3 วัน ๆ ละไม่ต่ำกว่า 30 นาที จะช่วยรักษาน้ำหนักให้คงเดิม หรือวันหนึ่ง ๆ ควรเดินประมาณ 1 หมื่นก้าว
 
2.ผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก ควรออกกำลังกายแบบแอโรบิกต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 45 นาทีในความหนักของแรงปานกลางอย่างน้อย 5 วันต่อสัปดาห์ การเดินเร็วอย่างต่อเนื่องเป็นวิธีการลดน้ำหนักที่ให้ผลดี
 
3.การลดไขมันหน้าท้อง ควรออกกำลังกาย ด้วยการซิทอัพวันละไม่น้อยกว่า 150 ครั้ง จะเห็นผลภายใน 2 สัปดาห์ว่ากล้ามเนื้อท้องกระชับ และไขมันหน้าท้องลดลงอย่างเห็นได้ชัด
 
การรับประทานอาหารสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก มีดังนี้
 
1.กินอาหารทุกมื้อ ต้องไม่งดอาหารมื้อใดมื้อหนึ่ง เพราะน้ำหนักจะกลับมาเร็วเมื่อไม่สามารถควบคุมอาหารได้ต่อเนื่อง
 
2.ลดอาหารทุกมื้อที่รับประทาน เช่น สัปดาห์แรกลดอาหารไป 1 ใน 3 สัปดาห์ต่อไปลดลงครึ่งหนึ่ง หรือเริ่มแรกลดข้าวลงมื้อละ 1 ทัพพี งดของหวาน ลูกอม น้ำหวาน น้ำอัดลม เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ แล้วกินผัก ผลไม้ที่รสไม่หวาน และมีกากใยให้มากขึ้น ซึ่งกากใยจะไปขวางการดูดซึมไขมันที่ลำไส้เล็ก
 
3.มีความอดทน ถ้ารู้สึกหิวทั้ง ๆ ที่เพิ่งกินไป ให้ใช้วิธีเปลี่ยนอิริยาบถไปทำอย่างอื่นแทน ถ้าไม่หายหิวก็ให้กินผลไม้รสไม่หวานคำสองคำ หรือดื่มน้ำเปล่าแทน
 
4.เคี้ยวอาหารช้า ๆ ประมาณ 30 ครั้งต่อ 1 คำ โดยอาหาร 1 จานควรใช้เวลาในการรับประทานไม่น้อยกว่า 15 นาที
 
สำหรับคนที่ผอมเพรียว รูปร่างสมส่วนอยู่แล้ว หากไม่อยากอ้วนลงพุง ควรกินอาหารให้สมดุล กินอาหารเช้าทุกวันจะช่วยให้ร่างกายไม่หิวในช่วงบ่าย และควบคุมอาหารมื้อเย็นให้กินน้อยลง กินอาหารให้พออิ่มในแต่ละมื้อ กินอาหารธรรมชาติไม่แปรรูป เช่น ข้าวกล้อง เผือก มัน ข้าวโพด กินผักผลไม้รสไม่หวานให้มากพอและครบ 5 สี คือ สีน้ำเงินม่วง สีเขียว สีขาว สีเหลืองส้ม และสีแดง กินอาหารมื้อเย็นห่างจากเวลานอนไม่น้อยกว่า 4 ชั่วโมง และที่สำคัญ ควรหลีกเลี่ยงอาหารมันจัด หวานจัด เค็มจัด เช่น เค้ก คุกกี้ มันฝรั่งทอด โรตี ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง สายไหม ขนมขบเคี้ยว และของดอง.


เครดิต :
เครดิต : เดลินิวส์ (อ่านความจริง อ่านเดลินิวส์)


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์