ผลวิจัยพบ “ขริบจู๋” ลดความเสี่ยงติดเอดส์

ผลวิจัยพบ “ขริบจู๋” ลดความเสี่ยงติดเอดส์


หมอเผยผลศึกษาพบ ขริบปลายอวัยวะเพศชายช่วยลดการเสี่ยงติดเอดส์ ทั้งทางช่องคลอด-ทวารหนัก แพร่เชื้อให้คู่รักน้อยกว่าชายที่ไม่ขริบ 2-3 เท่า และไม่ทำให้เซ็กส์เสื่อม...

วานนี้ (28 พ.ค.) นพ.รัตน์ เชื้อชูวงศ์ นักวิจัยทางการแพทย์ศูนย์ความร่วมมือไทย-สหรัฐอเมริกา ด้านสาธารณสุข (ศรทส.) กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ทั่วโลกได้เริ่มมีการศึกษาเรื่องการขริบหนังหุ้มปลายอวัยะเพศชาย ช่วยลดการติดเชื้อเอชไอวีได้หรือไม่ โดยเฉพาะประเทศในทวีปแอฟฟริกา เช่น แอฟฟริกาใต้ เคนยา อูกันดา โดยการศึกษาจะแบ่งกลุ่มตัวอย่างชายอกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ขริบหนังหุ้มอวัยวะเพศชาย และกลุ่มที่ไม่ขริบหนังหุ้มอวัยะเพศชาย ได้ติดตามผลของกลุ่มตัวอย่างนาน 42 เดือน  

นพ.รัตน์ กล่าวว่า ผลการศึกษาพบว่า การขริบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศชายสามารถช่วยลดการติดเชื้อเอดส์ทั้งจากชายสู่หญิง และจากหญิงสู่ชายได้ ร้อยละ 60 โดยกลุ่มตัวอย่างชายที่ไม่ขริบ ติดเชื้อเอชไอวี 100 คน ส่วนกลุ่มชายที่ขริบ ติดเชื้อเอชไอวีเพียง 30-40 คนเท่านั้น หรือชายที่ขริบสามารถลดการติดเชื้อจากชายที่ไม่ได้ขริบ 2-3 เท่า สาเหตุเพราะผิวด้านในของหนังหุ้มอวัยวะเพศชาย มีเซลล์รับเชื้อเอชไอวีในปริมาณมาก และเซลล์อยู่ในตำแหน่งที่ตื้นมากนอกจากนี้ยังสามารถพฉีกขาด ถลอกทำให้ติดเชื้อได้ง่าย การขริบจึงเป็นการลดบริเวณผิวด้านในของหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศทำให้ลดพื้นที่รับเชื้อเอชไอวีลงได้ และบริเวณปลายอวัยวะเพศชายที่ไม่มีหนังหุ้มแล้ว จะมีการสร้างสารโปรตีน (keratin) หนาขึ้น ทำให้เชื้อเอชไอวีแทรกตัวได้ยากขึ้น  

"ผลการศึกษาทางระบาดวิทยายังพบว่าผู้เติดเชื้อที่ขริบ และมีปริมาณเชื้อไวรัสเอชไอวีในกระแสเลือด น้อยกว่า 5 หมื่นก็อปปี้/มิลลิลิตร จะไม่แพร่เชื้อไปสู่คู่นอนได้ ขณะที่คนที่ไม่ขริบจะแพร่เชื้อไปสู่คู่นอนได้ 10 คน/100 คน/ปี" นักวิจัยทางการแพทย์ศูนย์ความร่วมมือไทย-สหรัฐอเมริกา กล่าว 

นพ.รัตน์ กล่าวต่อว่า ผลการศึกษาเบื้องต้น มีแนวโน้มว่า การขริบจะช่วยลดการติดเชื้อเอชไอวีได้ทั้งการมีเพศสัมพันธุ์ทางช่องคลอด และทางทวารหนัก แต่ผลการศึกษายังไม่เสร็จสมบูรณ์ดี อย่างไรก็ตาม ในประเทศไทยยังไม่มีการทำวิจัยศึกษาเรื่องนี้ จึงไม่สามารถชี้ชัดได้ว่าชายไทยที่ผ่านการขริบจะลดความเสี่ยงการติดเชื้อเอชไอวีได้หรือไม่ เพราะการวิจัยที่ผ่านมาอยู่ในทวีปแอฟฟริกา ซึ่งประชากรมีความต่างทั้งด้านสรีระ ชนิดของเชื้อไวรัส และศาสนา ซึ่งจากการศึกษาพบว่า ชาวมุสลิม มีอัตราการติดเชื้อต่ำกว่าประเทศที่นับถือศาสนาอื่น ไม่สามารถอธิบายได้ว่าอัตราการติดเชื้อต่ำกว่าศาสนาอื่นเพราะการขริบ 100% เพราะมีปัจจัยความแตกต่างทางสังคม วัฒนธรรม ลักษณะการดำเนินชีวิต และหลักสาสนา ดังนั้นจึงต้องมีการศึกษาเพิ่มเติม  

ด้าน นพ.อนุพงศ์ ชิตวรากร ผู้ทรงคุณวุฒิด้านเวชกรรมป้องกัน กรมควบคุมโรค สธ. กล่าวว่า การขริบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศชาย คือการตัดหนังบริเวณด้านหน้าขององคชาติออกเพื่อให้สามารถรูดออกเพื่อทำความ สะอาดบริเวณส่วนปลายได้ ซึ่งผิวหนังบริเวณนี้จะมีต่อมสร้างสารที่เรียกว่า smegma หรือ ขี้เปียก มีลักษณะเป็นขุยขาวๆ หากไม่เปิดหนังหุ้มปลายล้างออกได้ จะทำให่สารดังกล่าวคั่ง ก่อให้เกิดกลิ่น การติดเชื้อ ที่สำคัญเกิดมะเร็งที่องคชาติได้ ซึ่งการขริบ ยังมีประโยชน์ช่วยลดความเสี่ยงโรคอื่นๆ เช่น โรคเริม มะเร็งมะเร็งปากมดลูก มะเร็งอวัยวะเพศชาย ซิฟิลิส แผลริมอ่อน เป็นต้น และในเด็กทารกยังช่วยลดโอกาสติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะด้วย ซึ่งในไทยมีความชุกโรคเอดส์ เพียง ร้อยละ 1 เท่านั้น ขณะที่ทวีปแอฟฟริกา มี่ความชุกสูง ร้อยละ 5-20  

นพ.อนุพงศ์ กล่าวด้วยว่า สำหรับประเทศไทย จำเป็นต้องมีการศึกษาต่อยอด โดยเฉพาะเรื่องความคุ้มค่า การยอมรับของคนไทย ความพร้อมสถานพยาบาล และภาระค่าใช้จ่ายการผ่าตัดขริบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศชายอยู่ในชุดสิทธิประโยชน์หลักประกันสุขภาพแห่งชาติหรือไม่ ซึ่งปัจจุบันมีคนไทยขริบเพียง 10% เท่านั้น เพราะเข้าใจผิดว่าจะให้เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ดังนั้น การขริบเพื่อป้องกันโรค จึงเป็นเพียงทางเลือกหนึ่งเท่านั้น ซึ่งการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีที่ดีที่สุด คือการใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งขณะที่มีเพศสัมพันธุ์ และลดพฤติกรรมเสี่ยง การซื่อสัตย์ต่อคู่รัก


เครดิต :
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดยหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์