“อาหารดี” บางทีก็ให้โทษ...ถ้าเกินพอดี

“อาหารดี” บางทีก็ให้โทษ...ถ้าเกินพอดี


“อาหารดี” บางทีก็ให้โทษ...ถ้าเกินพอดี
รศ.ดร.ภญ.อรอนงค์ กังสดาลอำไพ ผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารและโภชนาการ

          ในปัจจุบันผลิตภัณฑ์เสริมอาหารใช้กันแพร่หลายในหลายๆ กลุ่มคน ตั้งแต่วัยเด็ก วัยทำงาน วัยกลางคน จนกระทั่งวัยชรา เพราะเหตุใดเราต้องรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพิ่มขึ้นกว่าในอดีต เป็นสิ่งน่าคิด อาจเป็นเพราะคนวัยต่างๆ ต้อง เผชิญกับปัญหาสภาวะต่างๆ เช่น ภาวะเร่งรีบทั้งการทำงาน ความยุ่งยากในการปรุงอาหาร จึงได้หันไปเลือกอาหารจานด่วน หรือฟาสต์ฟู้ดแทน ถ้ามีสุขนิสัยในการกินเช่นนี้ต่อเนื่องอาจมีผลให้ร่างกายได้รับแร่ธาตุและวิตามินไม่เพียงพอต่อความต้องการ ส่งผลให้ร่างกายเจ็บไข้ได้ป่วยง่าย
        แต่ที่น่าสนใจมากกว่าผลิตภัณฑ์เสริมอาหารของผู้ใหญ่ก็คือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับเด็ก ที่มักผสมอยู่ในรูปนมผสมชนิดต่างๆ หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในขวดสำเร็จรูปขายตามท้องตลาดทั่วไป แล้วผู้ปกครองซื้อมาให้ลูกรับประทาน ทั้งที่เป็นอาหารหลักหรือนำมาเสริมอาหารมื้อหลัก ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมักมีคำโฆษณาหลากหลายสรรพคุณ เช่น ช่วยกระตุ้นพัฒนาการของสมอง ช่วยในการเจริญเติบโต ช่วยระบบขับถ่ายของเด็ก ฯลฯ ซึ่งแท้จริงแล้วเด็กในวัยนี้ควรได้รับผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่เกิดจากสารอาหารธรรมชาติ ซึ่งมีประโยชน์มากที่สุด เช่น ในเด็กแรกเกิดจนถึงวัยทารกควรได้รับน้ำนมแม่อย่างน้อยที่สุด 6 เดือน เพื่อให้ได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนดังคำกล่าวของ
พอล จัยออร์จี้ เมื่อ 60 ปีมาแล้วว่า “นมคนสำหรับเลี้ยงลูกคน นมวัวสำหรับเลี้ยงลูกวัว”
แต่คุณแม่บางท่านอาจมีความจำเป็นต้องออกไปทำงานนอกบ้านจึงอาจต้องพึ่งนมวัวซึ่งในปัจจุบันนมวัวมีการดัดแปลงให้มีสูตรผสมใกล้เคียงกับนมแม่ โดยเติมสารบางอย่างลงไป เช่น วิตามินและเกลือแร่เป็นต้น อย่างไรก็ตามผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ทารกวัย 0-1 ปีควรได้รับเป็นอาหารอ่อนและอยู่ในรูปสารอาหารตามธรรมชาติ เช่น ปลาบด ตับบด ผักใบเขียว ผลไม้สด เป็นต้น
        อาหารหลักและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารของเด็กวัย 0-6 ปี
มีความสำคัญเป็นอย่างมากต่อการพัฒนาการทางสมองและร่างกายทุกๆ ส่วน และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ถูกหลักโภชนาการมักช่วยป้องกันโรคในเด็ก ไม่ให้เจ็บป่วยบ่อย ซึ่งจะมีผลทำให้การเรียนรู้และพัฒนาการที่สมวัยของเด็ก นอกจากกรรมพันธุ์และการเลี้ยงดูแล้ว อาหารจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะช่วยพัฒนาให้เด็กมีร่างกายแข็งแรง สมองแจ่มใส และอารมณ์ที่เบิกบาน ดังนั้นเรามาทำความรู้จักการให้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารดังกล่าวแก่เด็กกันนะคะ
        
อาหารเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเด็กอย่างมาก จากการวิจัยพบว่าเด็กปฐมวัยมีแนวโน้มน้ำหนักและส่วนสูงเพิ่มมากขึ้น แต่ยังไม่ได้มาตรฐาน มากกว่า 1 ใน 10 ของเด็กในวัยนี้ยังมีส่วนสูงต่ำกว่าเกณฑ์ นอกจากนี้จากการสำรวจสถานการณ์เด็กในประเทศไทย พ.ศ.2548-2549 แสดงให้เห็นว่ามากกว่า 1 ใน 10 ของเด็กปฐมวัยยังมีภาวะเตี้ยอยู่ และประมาณ 9% มีน้ำหนักน้อยกว่าเกณฑ์ การปรับโปรแกรมอาหารของเด็กรวมถึงคุณค่าของสารอาหารที่เด็กได้รับมีความสัมพันธ์กับการเจริญเติบโต การสำรวจภาวะอาหารและโภชนาการในปี 2546 พบว่าเด็กไทยทั้งชายและหญิงอายุ 0-5 ปี แม้ว่าจะมีแนวโน้มน้ำหนักเฉลี่ยและส่วนสูงเฉลี่ยเพิ่มมากขึ้นแต่ยังคงน้อยกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดไว้
จากข้อมูลการสำรวจดังกล่าว จะเห็นได้ว่าเด็กจำเป็นต้องได้รับอาหารที่ครบถ้วนตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาจนถึงอายุ 6 ปี อาหารเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะเด็กวัยนี้เป็นวัยกำลังโต การได้รับประทานอาหารที่ถูกสัดส่วนจะช่วยวางรากฐานที่ดีสำหรับอนาคตของเด็กได้
        
ในวัยทารก เด็กควรได้กินนมแม่อย่างเดียวจนถึงอายุ 6 เดือนแล้วจึงค่อยให้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร แต่อาจพิจารณาให้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารได้ก่อนอายุ 6 เดือน ถ้ามีความจำเป็น โดยในช่วง 4-6 เดือนต้องเป็นอาหารที่บดละเอียด ค่อนข้างเหลว เมื่ออายุ 6 เดือนขึ้นไปก็อาจให้เป็นอาหารที่ข้นขึ้นหรือหยาบมากขึ้น เมื่อเด็กมีอายุครบ 1 ปีไม่จำเป็นต้องบดอาหารอีกต่อไป

      ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารของทารกตามอายุที่ควรได้รับ ที่มา: สุขภาพคนไทย 2551

        สำหรับช่วงอายุ 1-5 ปี เป็นช่วงของการเจริญเติบโตทั้งร่างกายและสมอง โดยเฉพาะใน 2 ขวบปีแรก สมองจะมีการพัฒนาการและเจริญอย่างรวดเร็วมากจนถึง 80% ของสมองที่โตเต็มวัย ดังนั้นอาหารที่เด็กก่อนวัยเรียนจึงมีความสำคัญมาก การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และครบถ้วน ทั้งโปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมันและเกลือแร่จะส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทั้งทางร่างกายและสติปัญญาที่สมบูรณ์พร้อม


ตารางแสดงอาหารของเด็กก่อนวัยเรียน (อายุ 1-5 ปี) ที่มา: สุขภาพคนไทย 2551

อาหารที่มีประโยชน์ในการพัฒนาการเจริญเติบโตของสมองของเด็กวัย 2-6 ปี

        * ตับ ไข่แดง เลือด จะช่วยเพิ่มความจำและสมาธิ เพราะมีธาตุเหล็กสูง
        * ปลา (เนื้อปลา น้ำมันปลา) ช่วยพัฒนาการความจำและเสริมสร้างการเจริญเติบโตของปลายประสาทที่เรียกว่าเดนไดรต์ (dendrite) ซึ่งมีหน้าที่ช่วยเชื่อมโยงสัมพันธ์เรื่องราวที่เด็กได้เรียนรู้จากเรื่องหนึ่งไปสู่อีกเรื่องหนึ่ง คือ จะสนับสนุนให้เด็กได้เรียนรู้ง่ายและรวดเร็ว
        * ผัก ผลไม้ ผักสีเขียว และเหลืองแดง ให้วิตามินซี เพื่อนำไปสร้างเยื่อบุต่างๆ ทั่วร่างกาย รวมทั้งยังให้วิตามินเอทำให้เซลล์ประสาททำงานเต็มที่ ซึ่งส่งผลทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อพัฒนาการของสมอง นอกจากนี้ในอาหารจำพวกผักและผลไม้ยังมีวิตามินและเกลือแร่จำพวกต่างๆ ที่จะช่วยในการทำงานของเซลล์สมองในการเปลี่ยนน้ำตาลกลูโคสให้เป็นพลังงาน ถ้าขาดจะทำให้เซลล์สมองมีการทำงานลดลง ทำให้ส่งผลต่อการเรียนรู้ของเด็ก
        * ปลา เนื้อสัตว์ นม มีแร่ธาตุต่างๆ เช่น เหล็ก ทองแดง แมกนีเซียม สังกะสี ฟอสฟอรัส ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมอง
        * อาหารทะเลและเกลือเสริมไอโอดีน แร่ธาตุไอโอดีนมีความสำคัญต่อระดับ IQ คือป้องกัน IQ ต่ำ และโรคเอ๋ออีกด้วย
        * ผักตระกูลกะหล่ำ (ทำให้สุก) และน้ำนมแม่ สามารถยับยั้งการเกิดอนุมูลอิสระที่จะทำลายเซลล์สมองได้

ข้อแนะนำสำหรับพ่อแม่เพื่อช่วยให้เด็กเล็กรับประทานอาหารได้ง่าย
        1. ให้เด็กได้รับประทานอาหารครบทั้ง 3 มื้อ เช่นเดียวกับผู้ใหญ่ ถ้าหิวมากอาจให้ผลไม้ก่อน แล้วจึงให้อาหารมื้อหลัก
        2. จัดอาหารให้น่ารับประทาน ตกแต่งจานให้สวยงาม มีสีสันเพื่อดึงดูดความสนใจของเด็ก ขนาดชิ้นอาหารควรพอดีคำ นุ่มเคี้ยวง่าย ควรตักอาหารและแบ่งอาหารให้พอดีกับที่เด็กจะรับประทานหมด และเป็นกำลังใจให้คำชมเชยทุกครั้งที่เด็กรับประทานอาหารหมด พ่อแม่ควรจัดวางผักและผลไม้บนโต๊ะอาหารทุกครั้ง
        3. พ่อแม่ควรเป็นตัวอย่างในการรับประทานอาหารที่ดีให้แก่ลูก ไม่เลือกอาหารและสนุกกับการรับประทานอาหาร
        4. สร้างบรรยากาศที่ดีในการรับประทานอาหารมื้อหลัก อาจมีนิทานประกอบการรับประทานอาหาร สร้างความเพลิดเพลินและจูงใจให้ลูกรับประทานอาหารได้มากขึ้น

        อาหารธรรมชาติมีประโยชน์มากที่สุด ถ้ารู้จักเลือกสรร และยอมเสียเวลาปรุงสดใหม่ แต่ถ้าพ่อแม่ต้องการให้เด็กรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ไม่ควรเติมรสหวานลงไป โดยเฉพาะขนมหวาน เครื่องดื่มน้ำอัดลมซึ่งเป็นสาเหตุให้เด็กติดรสหวาน จะส่งผลให้เกิดปัญหาฟันผุและได้รับน้ำตาลเกิน เสี่ยงต่อโรคอ้วน และไม่แข็งแรง ดังนั้นการฝึกสุขนิสัยในการรับประทานอาหารควรเริ่มตั้งแต่ที่บ้าน โดยพ่อแม่ต้องเป็นแบบอย่างและเลือกอาหารที่มีประโยชน์ให้แก่ลูก ซึ่งการรับประทานอาหารอย่างถูกที่ ถูกสุขลักษณะ ถูกเวลา และมีมารยาทในการรับประทานอาหารไม่เพียงแต่งส่งผลต่อการเจริญเติบโตเท่านั้น แต่ยังช่วยในการพัฒนาสมองให้ลูกเติบโตเป็นเด็กฉลาดอีกด้วย ดังคำกล่าวว่า “เด็กฉลาด ชาติเจริญ” ค่ะ


Healthtoday

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์