เตือนใช้ยาเร่งฮอร์โมน-ลดความอ้วน อันตรายถึงตาย

อธิบดีกรมสุขภาพจิต เตือนเด็กหรือวัยรุ่นที่จะใช้ยาเร่งฮอร์โมนหรือลดความอ้วน เสี่ยงอันตรายอาจถึงตาย หากร่างกายไม่พร้อมหรือป่วย แนะหากเด็กต้องการเป็นเพศตรงข้าม ควรปรึกษาผู้ที่มีความรู้ อย่าปรึกษากันเอง

นพ.ม.ล.สมชาย จักรพันธุ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต ให้สัมภาษณ์กับ “ข่าวเช้าโมเดิร์นไนน์” ถึงข่าวสาวประเภท 2 เสียชีวิต โดยเพื่อนผู้ตายบอกว่า ผู้ตายไม่มีโรคประจำตัว ก่อนเสียชีวิตได้กินยาลดความอ้วน และยาเพิ่มฮอร์โมนเพศหญิง ว่า ก่อนอื่นต้องบอกว่า ยาไม่ใช่ขนม ดังนั้น การกินยาหรือฉีดยาอะไรเข้าไป โดยที่ร่างกายไม่มีความจำเป็นต้องใช้ เสี่ยงต่ออันตรายทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการกินยาลดความอ้วน หรือฉีดยาเร่งฮอร์โมน โดยเฉพาะยาลดความอ้วนอันตรายหนัก เพราะมีส่วนผสมของยาบ้า หากกินเข้าไปในภาวะที่ร่างกายมีปัญหาอะไรอยู่ อาจจะถึงขั้นเสียชีวิตได้

ภาพประกอบทางอินเตอร์เน็ตภาพประกอบทางอินเตอร์เน็ต


ทั้งนี้ วัยรุ่นหรือสาวประเภท 2 ที่ต้องการแปลงเพศ จะพยายามทำทุกอย่างให้ตัวเองมีลักษณะตามที่ต้องการ แม้จะรู้ว่าเสี่ยง

“ต้องเตือนกันว่า บางทีเราอยากได้บางอย่างมา แต่เราไม่รู้ว่าอันตรายที่เกิดขึ้นมากกว่าสิ่งที่เราได้รับ เช่น การกินยาหรือฮอร์โมนเร่งเปลี่ยนเพศ ดังนั้น ถ้ามีปัญหาน่าจะปรึกษาผู้ที่มีความรู้เรื่องนี้ ส่วนใหญ่เขาจะปรึกษากันเอง เชื่อแล้วไปทำกัน ต้องเตือนเด็กหรือกลุ่มวัยรุ่นที่มีแนวโน้มจะเป็นเพศตรงข้าม ขณะนี้ไม่ถือเป็นเรื่องเสียหาย แต่ต้องดูว่าเรามีข้อจำกัดอะไรหรือไม่ในร่างกายของเรา ซึ่งเราไม่รู้หรอกว่าป่วยอะไรอยู่ ไปฉีดฮอร์โมนเร่งก็ยิ่งไปกันใหญ่ ถ้าพ่อแม่พบเด็กที่มีปัญหาแบบนี้ ขอให้ใจเย็น ๆ และพูดคุยกับเขาว่าเป็นมากน้อยแค่ไหนที่อยากจะเป็นเพศตรงข้าม ถ้าอายุมากแล้วอยากจะเป็นจริง ๆ บางทีต้องยอมรับส่วนที่เป็นชีวิตของเขา อยากให้พ่อแม่คิดว่าเราอาจจะสูญเสียความเป็นเพศของลูกไป แต่เราไม่ได้เสียลูก” อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าว

นพ.ม.ล.สมชาย ยังกล่าวถึงพฤติกรรมเด็กและวัยรุ่นที่ไปขโมยถอดนอตเสาไฟฟ้าแรงสูงหรือแก๊งปาหินด้วยว่า

เป็นได้ทั้งพฤติกรรมเลียนแบบและอารมณ์ชั่ววูบ และจำนวนวัยรุ่นมีมากถึง 1 ใน 4 ของจำนวนประชากร คือ ประมาณ 13-14 ล้านคน ซึ่งมีพละกำลังมากไปตั้งกลุ่มกันทั้งในทางดีและไม่ดี อยู่ที่ว่าผู้ใหญ่ โรงเรียน หรือชุมชน จะมีส่วนช่วยแก้ปัญหาพฤติกรรมวัยรุ่นได้มากน้อยอย่างไร เพราะวัยรุ่นก่อเหตุไปอาจจะไม่ได้คิดถึงผลเสียที่จะเกิดขึ้น ดังนั้น ต้องอบรมเด็กว่า หากทำอะไรแล้วจะเกิดผลอะไร ส่วนใหญ่เด็กเหล่านี้ไม่ค่อยได้ติดต่อสื่อสารกับผู้ใหญ่ ในครอบครัวจึงควรพบปะพูดคุยกับลูกอย่างน้อย 1 ครั้ง ใน 1 วัน อาจจะมีการถามไถ่ถึงความคิดของเด็ก จะมีส่วนช่วยลดความรุนแรงในเด็กได้

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว และรูปภาพ คุณภาพดี โดย: INN NEWS

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์