พิมพวดี หนูน้อยวิญญาณระลึกชาติ โดย หมออาจินต์ บุณยเกตุ

ขอบอกว่าเรื่องนี้ยาวมาก แต่เป็นเรื่องจริง ใครที่อ่านไม่ไหว ก็ขอความกรุณา อย่าโพสอะไรที่เป็นอกุศลเลย

"ลูก แล้วพ่อต้องถูกผ่าสมองอีกไหมนี่ แล้วเมื่อไรจะหายจากโรคนี้"
เป็นคำถามที่ผมถามออกมาดังๆ จากปากต่อหน้าภรรยาและพยาบาลพิเศษที่เผ้าพยาบาลผม
ในห้องผู้ป่วยที่ตึกวิบูลลักษณ์ โรงพยาบาลศิริราช เมื่อกลางปี พ.ศ. 2504
โดยมีคุณใบ กล้าหาญ แห่งโรงพยาบาลสงฆ์ ไปนอนเป็นเพื่อนด้วย

"พรุ่งนี้ สองโมงเช้า พ่อจะต้องถูกผ่าอีกครั้ง คราวนี้จะทารุณที่สุด"
เป็นคำตอบของเด็กหญิงพิมพวดี โหสกุล ซึ่งถึงแก่กรรมเมื่อ พ.ศ. 2503
และบิดาของหนูพิมพวดี ได้สร้างพลับพลาไว้เป็นอนุสรณ์แก่แม่หนู
ที่วัดมกุฎกษัตริยาราม พลับพลาแรกทางขวามือ
ซึ่งเมื่อก้าวเข้าไปในวัดบริเวณฌาปนสถาน คุณจะแลเห็นพลับพลานี้
พร้อมทั้งรูปในกรอบหินอ่อน จารึกไว้ว่า เด็กหญิงพิมพวดี โหสกุล

ไม่มีใครในห้องผู้ป่วยที่ผมนอนอยู่ได้ยิน นอกจากผมคนเดียว
ผมจึงทวนคำพูดของแม่หนูออกมาดัง ๆ ว่า พรุ่งนี้ แปดโมงเช้าต้องผ่าอีก
คราวนี้จะทารุณที่สุด ผมสนใจคำพูดของพิมพวดี
ที่ไม่มีใครแลเห็นนอกจากผม
ทั้งสองคนคอยฟังและคอยจดจำคำพูดด้วยความหวาดกลัวและงุนงง

เรื่องเป็นอย่างไร เท็จจริงแค่ไหน ผมกำลังจะเล่าให้คุณฟัง ณ บัดนี้

ผมเริ่มเรื่องว่า ผมได้ป่วยด้วยโรคปวดประสาทสมองเส้นที่ห้า
(ประสาทสมองมีสิบสองคู่) ทางด้านขวา เริ่มเป็นมาตั้งแต่วัยรุ่น อายุราว ๆ 16-17 ปี
ตอนนั้นพอดีเกิดสงครามอินโดจีน และก็เป็นเรื่องมาระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง เป็นๆหายๆ
โดยมีอาการปวดประสาทด้านขวา ตั้งแต่เบ้าตาขึ้นไปถึงกลางกระหม่อม
ปวดอยู่ซีกเดียว ตอนนั้นยังเป็นหนุ่มแน่นอายุยังน้อย
อาการก็ไม่ทรมานรุนแรงมากนัก กินยาแก้ปวดแรงๆ หน่อยก็บรรเทาไปได้
ได้ขอให้อาจารญ์ที่ศิริราชตรวจ
ท่านก็บอกว่าสายตามีส่วนช่วยให้ปวดประสาทได้เพราะสายตาไม่ดี
ผมก็เลยส่วมแว่นตามาตั้งแต่อายุยี่สิบปีจนบัดนี้

สรุปว่าผมป่วยด้วยโรคนี้มานานเป็นสิบๆ ปี
ตอนที่เป็นนายแพทย์ผู้อำนวยการที่จังหวัดภูเก็ตก็เป็น
ตอนที่ไปศึกษาต่อที่อเมริกาสามปีก็เป็นทั้งสามปี
แพทย์ที่อเมริกาสามปีก็เป็นทั้งสามปี แพทย์ที่อเมริกาชวนผ่าตัด ผมก็ยอม
พอจะผ่าตัดมันก็เกิดหายปวดเพราะมันเป็นๆหายๆ หมอที่นั่นเลยไม่กล้าผ่า
ผมเป็นรองผู้อำนวยการโรงพยาบาลสงฆ์ อยู่ฝ่ายวิชาการ
เกิดปวดมากอีกหนทนไม่ไหว
ต้องเข้ารับการรักษาที่ศิริราชตอนนี้เอง

โรคนี้ไม่รู้สาเหตุ แต่เดี๋ยวนี้ คุรหมอศิระ บุญยรัตเวฃ หัวหน้าศัลยกรรม
โรงพยาบาลรามาธิบดี ผู้เชี่ยวชาญทางศัลยกรรมสมองและประสาท
(ท่านผู้นี้เองที่รักษาผมหายขาด ด้วยการฉีดน้ำยาเข้าไปในสมอง
ไปทำลายต้นตอของประสาทเส้นนี้ ให้หมดสภาพไปเลย)
ท่านบอกว่าหนึ่งในสาเหตุของโรคนี้
ก็คือเส้นโลหิตในสมองเส้นหนึ่งไปเบียดเส้นประสาทสมองเส้นที่ห้านี้
เมื่อเส้นโลหิตขยายตัวตามจังหวะการเต้นของหัวใจ
มันก็จะเบียดกระตุ้นเส้นประสาทนี้ทุกที หนักๆเข้าก็ระบมปวดอย่างนี้
คนโบราณเรียกว่า ลมตะกัง หมอปัจจุบันเรียก ไมเกรน หรือ ติ๊ค เดอลารู
หรือไทรเจมินัลนิวราลเจีย ซึ่งมันก็ชื่อเดียวกัน การรักษายากมาก

ตอนปี พ.ศ. 2504 นั้น คุณหมอศิระยังไม่กลับจากการศึกษาต่อจากอังกฤษ
ท่านกลับมาตอน พ.ศ. 2507 หรือราวๆ นั้น ท่านศาสตราจารญ์ น.พ.อุดม โปษกฤษณะ
เป็นผู้รักษาผม , ศ.จ.น.พ. วิชัย บำรุงผล แห่งภาควิชาศัลยกรรม และ
ศ.จ.น.พ.สมบัติ สุคนธพันธ์ ฝ่ายโรคทางยามาร่วมด้วย
ทั้งสองท่านหลังนี้เป็นเพื่อนกัน ก็เลยตั้งใจมากเป็นพิเศษ แต่มันไม่หาย

ผมได้ถูกรับตัวไว้เพื่อตรวจละเอียด และรักษาที่ตึกวิบูลลักษณ์ชั้นล่าง
ห้องที่เท่าไรก็จำไม่ได้เสียแล้ว
ได้รับการดูแลเยียวยารักษาอย่างดีจากครูบาอาจารย์และเพื่อนฝูง
แต่อาการปวดประสาทก็รุนแรงมาก แทบจะผูกคอตายไปหลายหน คืนหนึ่ง
ราวๆสองทุ่มเศษๆ
โรคปวดประสาทมาเอาผมอีก ทีนี้ปวดดิ้นเลย
พยาบาลให้กินยาฉีดยาตามแพทย์สั่งไว้ก็ไม่สงบ เมื่อเป็นเช่นนั้น
ผมก็นอนหลับตาเอามือกุมขมับข้างที่ปวด แล้วภาวนาบริกรรมพุทโธๆๆ
ทำอานาปาณสติไปเรื่อง ๆ ที่ผมทำแบบนี้ได้ก็เพราะเมื่อปี พ.ศ. 2500
ผมบวชพระที่วัดราชาธิวาสหนึ่งพรรษา วัดนี้เป็นวัดวิปัสสนากรรมฐาน
ผมก็ได้รับการอบรมเรื่องนี้มาด้วย พอทำสมาธิวิปัสสนาสักครู่อาการปวดก็สงบลง
มันก็เป็นเช่นนี้ คือปวดสักพักแล้วก็บรรเทา พอสงบผมก็เลยสงบจิตทำสมาธิต่อ

ประมาณ 3 ทุ่มเศษ ผมมองเห็นอะไรรางๆ
ก็ลืมตาขึ้นมาพลางถามภรยาและพยาบาลพิเศษที่เฝ้าอยู่สองคนนี้ว่า "ใครมา"
ได้รับคำตอบว่า "ดึกแล้ว ไม่มีใครมาหรอก"

ผมก็หลับตาเข้าสมาธิต่อ พอสักครู่ก็เห็นชัด ขนาดลืมตามองก็เห็นชัด
ว่ามีเด็กผู้หญิงรูปร่างอ้วนเหลือกำลัง อ้วนอย่างกับเป็นโรคชนิดหนึ่ง
แต่หน้าตายังเด็กมายืนอยู่ข้างเตียง เธอแต่งตัวด้วยชุดของโรงพยาบาล

เมื่อเห็นเช่นนี้ ผมก็เอ่ยปากออกถามว่า "หนู เป็นใคร มาทำไมที่นี่"
ผมพูดออกมาดังๆ เพื่อให้สองคนนั้นได้ยิน..
รวมทั้งคุณใบ กล้าหาญ ซึ่งรับราชการอยู่ที่โรงพยาบาลสงฆ์จนทุกวันนี้
และไปเฝ้าผมอยู่ด้วย..

ภรรยาจึงมาเขย่าแขนแล้วพูดว่า..
"เธอๆ นี่อยู่นี่ๆๆ" ก็คงนึกว่าผมปวดมากจนเพ้อ..
ผมก็บอกว่า "ไม่ได้เพ้อ หรือเสียสติอะไรหรอก แต่มีใครเห็นไหม หนูอ้วนมานั่งอยู่ข้างเตียงนี่"
สองคนนั้นตอบว่า "ไม่มีใคร ดึกแล้ว.."

ผมสังเกตว่าสองคนนั่นเขยิบเข้ามาชิดๆ กัน ภรรยาผมก็ทำท่าจะสวดมนต์
เห็นพนมมือไหวพระปลกๆ แต่ผมก็ยังข้องใจ
เพราะหนูคนนั้นก็ยังนั่งอยู่อย่างสงบเสงี่ยม
ผมก็เลยพูดออกมาดังๆ กับภรรยาและพยาบาลในห้องว่า "จะคุยกับหนูคนนี้นะ ช่วยจดๆ จำๆ ไว้ด้วย.."
แล้วผมก็ถามด้วยเสียงออกจะดังๆ ว่า "หนูเป็นใคร มาทำไมในห้องนี้.."

แม่หนูตอบว่า "..หนูเคยป่วยในห้องนี้และตายในห้องนี้ เมื่อประมาณสองปีมาแล้ว.."

ภรรยาผมคอยฟังและคอยจด..

"อ้อ หนูเคยมาป่วยที่ห้องนี้ และตายที่ห้องนี้..หนูป่วยเป็นอะไรตาย"

"ป่วยด้วยโรคอ้วนตายค่ะ" ภรรยาและพยาบาลช่วยกันจดใหญ่
"หนูเป็นลูกใครหลานใครจ๊ะ"
"คุณตาหนูเป็นพระยาค่ะ ชื่อของท่านขึ้นต้นด้วย อ ลงท้ายด้วย สิริ"
ผมทวนคำพูดของเธอดังๆ ให้ได้ยินทุกคน
"งั้นหนูก็เป็นหลาน" ผมพยายามนึก สักครู่ก็นึกออกแล้วพูดออกมาว่า "หลานเจ้าคุณอัชราทรงสิริ ใช่ไหมล่ะ"
หนูคนนั้นก็ตอบว่า "ใช่ค่ะ คุณอาเก่งมาก.."
"แล้วพ่อหนูล่ะ"
"คุณอา ไม่รู้จักหรอกค่ะ"
ผมถามต่อไปว่า "หนูมีพี่น้องกี่คน"
"มีสามคนค่ะ หนูเป็นผู้หญิงคนเดียว" ผมทวนคำพูดดังๆ ทุกคำ เพื่อให้ผู้ที่กำลังฟังได้ยินด้วย
"หนูมานี่มีความประสงค์อะไรจ๊ะ"
"หนูมีเพี่อนหนึ่งคน เขาเสียชีวิตเมื่อกลางปีกลายที่ตึกเด็ก เขาบอกว่า เขาเป็นลูกคุณอาเมื่อชาติก่อน
เขาอยากจะมาหาและมาช่วยคุณอาให้หายป่วยจากโรคนี้ เขาให้หนูมาบอกคุณอาก่อนค่ะ.."
จากนั้น แม่หนูคนนั้นก็หายไป หายวับไปเลย
ผมก็ลุกขึ้นนั่ง เล่าทุกสิ่งทุกอย่างให้ภรรยาและพยาบาลที่นั่งอยู่ด้วยฟัง
พยาบาลคนนั้นเธอตื่นเต้นมาก พลางบอกกับผมว่า พรุ่งนี้เขาจะไปถามหัวหน้าตึก
ขอค้นประวัติและขอทราบว่า ตึกนี้ห้องนี้ เมื่อประมาณปี 2502
มีเด็กหญิงถึงแก่กรรมที่ตึกนี้ห้องนี้หรือเปล่า
เพราะเธอแปลกใจและสนใจที่ผมพูดกับแม่หนูคนนั้น เป็นเรื่องเป็นราวตั้งนาน

จากนั้นผมก็เข้านอนไป โดยไม่ลืมภาวนาบริกรรมพุทโธๆๆ ไปด้วย

ประมาณห้าทุ่มคืนเดียวกันนี้เอง ด้วยอาการปวดประสาทอย่างแรงได้ปลุกผมตื่นขึ้นมาอีก
แต่สองคนที่อยู่ในห้องหลับไปแล้ว

ตอนนี้เงียบสงัด แต่ผมนอนกุมขมับ กุมศีรษะด้านขวาอยู่คนเดียวด้วยความปวดที่ออกจะรุนแรงเอาการอยู่
ผมก็ได้ยินเสียงแว่วๆ ที่หูว่า "เธอ พ่อเธอนอนอยู่นี่ยังไง.. เข้ามาสิ.."

ผมลืมตาขึ้นมอง ก็ไม่เห็นอะไร แต่พอหลับตาก็ได้ยินเสียงพูดอีกว่า เข้ามาสิ มาเถอะ

ผมลืมตาอีกที ทีนี้เห็นเด็กสองคนมายืนที่ข้างเตียงผม คนหนึ่งอ้วนปี๋ก็คนเก่า
อีกคนหนึ่งอยู่ในวัยสิบสองขวบ หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู
เธอเดินมายืนข้างเตียงผมแล้วพูดว่า "พ่อ หนูมาช่วยพ่อ.."

ผมจึงเรียกภรรยาผมและพยาบาลให้ตื่น แล้วถามว่า
"เห็นเด็กผู้หญิงสองคนตรงนี้ไหม.. เด็กๆ มายืนอยู่ที่นี่แน่ะ.."

พยาบาลเปิดไฟในห้องนอนสว่างพรึ่บแล้วบอกว่า ไม่เห็นมีใครมาสักคนนี่คะ
ผมก็ยืนยัน (ความจริงนอนยันเพราะตอนนั้นนอนอยู่บนเตียงไม่ได้ยืนสักที) ว่า
"มีซิ มีแม่หนูสองคนมาเยี่ยม แล้วมายืนอยู่ตรงนี้ นี่ยังไง.."
พลางผมก็ยื่นมือออกชี้ที่ตัวเด็ก
คุณใบ ยกเก้าอี้มา 2 ตัว ให้แขกที่เขามองไม่เห็นนั่งข้างเตียงทันที..

ภรรยาผมกับพยาบาลตื่นขึ้นนั่ง ขยับตัวเข้ามาชิดกัน แล้วทั้งสองคนก็พนมมือ
ทำท่าจะสวดมนต์อีกรอบ หนูอ้วนยืนอยู่สักครู่ก็ลาไป "คุณอาคะ หนูไปก่อนนะคะ"
ว่าแล้วก็หายวับไปอีกที.. เหลือแต่แม่หนูคนเล็กคนเดียว
ตอนนี้เธอนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียงนอนผม ข้อศอกสองข้างเท้าที่นอนยันคางไว้
แล้วถามว่า "พ่อปวดศีรษะมากหรือคะ"
ผมตอบว่า "ตอนนี้ปวดมากจ้ะ"

เธอก็ยื่นมือข้างหนึ่งมากุมหรือกดศีรษะด้านที่ปวดของผมไว้ แล้วบอกว่า "สักครู่จะทุเลา"
ต่อจากนั้นสักพัก อาการปวดศีรษะก็สงบ
ผมจึงถามเธอว่า "หนูเป็นใคร แล้วทำไมมาเรียกว่าพ่อ.."
ตอนนี้สองคนนั้นเริ่มจดอีก
"ชาติที่แล้วมา หนูเป็นลูกพ่อ.."

ผมก็ทวนคำพูดของแม่หนูนั้นว่า "อ้อ ชาติที่แล้วเป็นลูกของพ่อ.."
ต่อไปนี้เป็นคำสนทนาของผมกับเด็กหญิงผู้นั้น โดยผมถามดังๆ และทวนคำตอบดังๆ เช่นเคย

"ชาติก่อนนี้หนูเป็นลูกผู้ชายหรือผู้หญิง"
"เป็นผู้หญิงค่ะ"
"หนูเป็นอะไรถึงตาย..ในชาติก่อนนั้น"
"หนูไปเล่นน้ำแล้วไถลลื่น เลยตกแม่น้ำตาย.."
"หนูตายที่ไหน.."
"ตกน้ำตายที่ท่าโรงโม่"
จึงถามเธอว่า "โรงโม่อยู่ที่ไหน"
"ก็อยู่แถวๆ ท่าเตียนนี่แหละ..ไม่ไกลเท่าไร"
"ตอนที่ตกน้ำตายอายุเท่าไหร่.."
"ก็สิบกว่าขวบค่ะ"

"ชาติก่อนนี้พ่อเป็นอะไร"
"ชาติก่อนนี้พ่อรับราชการในรัชกาลที่ 3 เป็นผู้คุมนักโทษและราชมัล.."
"ราชมัลเป็นอย่างไร พ่อไม่รู้จัก.."
"ราชมัลเป็นผู้คุม เป็นคนลงโทษนักโทษ ทรมานนักโทษรวมทั้งประหารชีวิตนักโทษด้วย.."
ผมได้ฟังแล้วตกใจมาก เพราะชาตินี้ผมไม่ชอบเบียดเบียนใคร
ไม่ชอบการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตอย่างใดทั้งสิ้น แล้วจึงถามแม่หนูนั้นหว่า
"ที่พ่อป่วยนี้ ป่วยมานานเป็นเพราะอะไร แล้วเมื่อไหร่จะหาย"
เธอตอบผมว่า "ป่วยเพราะกรรมเก่าที่ทำไว้แต่ชาติก่อน พ่อมีหน้าที่เกี่ยวกบนักโทษ
ควบคุมลงโทษ ทรมานเขา กรรมก็ตามสนองในชาตินี้"

ผมแย้งว่า "ก็เราทำตามหน้าที่ ลูกบอกว่าหน้าที่คือควบคุม ลงโทษ ทรมาน ถ้าเราไม่ทำเราก็ผิด.."

แม่หนูก็ตอบว่า "ครั้งหนึ่งมีชายคนหนึ่ง รูปร่างอ้วนใหญ่สูงดำ
ถูกฎีกาว่าฆ่าชาวบ้านตาย ทำทารุณต่างๆ แก่ราษฎร ความจริงเขาไม่ได้ทำ
แต่ชาวบ้านรวมหัวกันไปใส่ความเขา พระอัยการก็คุมตัวมาลงโทษ สอบถาม
เขาไม่ได้ทำเขาก้ไม่รับ ราชมัลก็คือพ่อได้ลงโทษเขา
จับเขาเข้าขื่อเข้าคาตอกเล็บเขา แล้วเอาเครื่องมาบีบขมับเขา
บีบขมับจนเขาสลบเพราะความเจ็บปวด เขาก็ไม่รับว่าเป็นผู้ร้าย
พ่อก็ลงโทษบีบขมับเขาอีกเพื่อให้เขารับว่าเป็นสัตย์ เขาก็ไม่รับ
ในที่สุดเขาทนทรมานไม่ไหวเขาก็ขาดใจตาย
ก่อนตายเขาผูกใจพยาบาทอาฆาตไว้ว่าจะจองเวรไปทุกชาติจนกว่าจะหมดเวร..
ตอนนี้กรรมมาตามทันอย่างเต็มที่แล้วจึงได้ป่วยเช่นนี้"

ผมทวนคำพูดของแม่หนูน้อยทุกอย่าง ภรรยาและพยาบาลนั่งจำและจดไว้ทุกคำพูด

ผมจึงถามต่อไปว่า "เมื่อไหร่จะชดใช้กรรมนี้หมดเสียที"
แม่หนูตอบว่า "พ่อทำไว้มาก ทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว กรรมก็สลับกัน
กรรมดีทำให้พ่อเกิดมาอย่างนี้ กรรมชั่วก็ตามมาสนองอย่างนี้"
"แล้วเมื่อไหร่จะหมดบาปหมดกรรม"
"อีกสี่ปี" แม่หนูตอบว่า "พ.ศ. 2508 พ่อถึงจะหมดกรรมนี้แล้วถึงจะหายป่วย"

ภรรยาผมนั่งฟังอยู่ตลอด ก็ขอให้ผมถามว่า "เมื่อชาติก่อนเธอเกิดเป็นอะไร"
แม่หนูตอบว่า "คุณแม่เมื่อชาติก่อนนี้เป็นแม่ชี ถือศีลกินเพลอยู่วัดใต้"
ผมก็ไม่ทราบว่าวัดใต้ไหน

แม่หนูก็บอกว่า เวลาปวดประสาทมากๆ ให้นึกถึงเธอ เธอจะมาช่วยให้เบาบางลง
แล้วก็เอามือมากุมศีรษะข้างที่ปวดพลางก็พูดว่า "พรุ่งนี้ แปดนาฬิกา หมอจะเอาตัวไปผ่ากะโหลกศีรษะ.."
ผมก็ย้ำว่า "พรุ่งนี้เช้าหรือ จะผ่ากะโหลกพ่อหรือ.."
เธอก็พยักหน้ารับคำแล้วก็บอกว่า "หนูจะไปก่อนละ.."

พยาบาลและภรรยาผมนั่งสงบอย่างบอกไม่ถูก และแล้วในที่สุดก็ม่อยหลับไปทั้งสามคน

รุ่งขึ้นเวลาประมาณ 8.00 น อาจารย์หมออุดมมาตรวจเยี่ยม ได้รับรายงานว่า
เมื่อคืนนี้ปวดประสาทมาก ปวดจนดิ้นถึงสองครั้ง
ท่านยืนคิดสักครู่แล้วจึงพูดว่า
"แปดโมงเช้านี้จะเอาตัวไปผ่าตัด ผ่าเอาปมประสาทที่ปวดออก"
แล้วหันมาสั่งพยาบาลให้ไปบอกหัวหน้าตึกว่า "ให้เตรียมคนไข้รายนี้ไปผ่าตัด"

ภรรยาและพยาบาลมองหน้ากันด้วยความงุนงงเต็มที
เพราะไม่มีใครเชื่อว่าจะนำผมไปผ่าตัด ที่งงก็เพราะเมื่อคืนนี้
ได้ยินผมพูดคนเดียว คือทวนคำพูดของแม่หนูว่า พรุ่งนี้ แปดนาฬิกา
หมอจะเอาไปผ่าตัด ตอนนั้นก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง มาตอนนี้เชื่อแล้ว เชื่อไม่มีข้อสงสัย

สักครู่พยาบาลก็เข้ามาในห้องผม จัดแจงโกนผม โกนคิ้วด้านขวาขึ้นไปถึงกลางศีรษะ
แล้วทำความสะอาด ต่อจากนั้นก็ฉีดยาให้สลึมสลือ ก็ประเภทมอร์ฟีน
จน 8.00 น. รถเข็นคนไข้ก็มาเทียบ เอาตัวผมนอนเปลเข็นไปห้องผ่าตัด
โดยมีภรรยาผมเดินตามไปด้วย ผมเองตอนนั้นก็จะหลับมิหลับแหล่อยู่แล้ว
และแล้วผมก็หมดสติไป เมื่อได้รับยาสลบที่ห้องผ่าตัด

ผมมาทราบตอนหลังว่า ในวันรุ่งขึ้น คือวันที่ผมได้รับการผ่าตัดนั้น
พยาบาลในห้องได้ไปคุยกันกับหัวหน้าตึก และคุยกันต่อๆ ไป
ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ ทุกคนมีอาการเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ก็แปลกใจทุกคน ที่ประหลาดใจมากก็คือ

ในเมื่อผมเรียนจบจากศิริราชไปตั้งกว่าสิบปี จบแล้วออกไปเลย ไม่ทำงานอยู่ในนั้น
เหตุไฉนจึงทราบเรื่องเด็กหญิงที่เป็นโรคอ้วน
และเด็กหญิงถึงแก่กรรมที่เตียงที่ผมนอนป่วยในตึกวิบูลลักษณ์ และเธอตายในปีนั้นๆ

ด้วยความสนใจพยาบาลหัวหน้าตึกได้ไปค้นประวัติ สืบประวัติของผู้ป่วยที่มาป่วยตึกนี้ในปี 2502-2503
ค้นอยู่นานเพราะไม่ทราบชื่อผู้ป่วย และในที่สุดก็ค้นมาจนได้ว่า

ได้มีเด็กหญิงหนึ่งคนป่วย และถึงแก่กรรมที่ห้องนี้ด้วยโรคอ้วนจริง
ความประหลาดใจในหมู่คนที่รู้เรื่อง ก็ชักจะกลายเป็นความเชื่อขึ้นมาทีละน้อย ๆ
แต่พอพยาบาลที่เฝ้าเธอบอกว่า เด็กมาหาคุณหมอ ที่บอกว่าเป็นลูกในชาติก่อน
เมื่อคืนนี้มาบอกว่าจะถูกผ่าที่ศีรษะเช้าวันนี้ พอวันรุ่งขึ้นเช้า อาจารย์หมออุดมก็มาเอาตัวไปจริงๆ
"แปลกนะเธอ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ.." พยาบาลสาวพึมพำกันทั้งตึก
และจากตึกนี้ก็ไปตึกโน้น ไปจนทั่วโรงพยาบาลภายในไม่กี่วัน

อาจารย์หมออุดม ท่านเคยรักษาโรคนี้ให้ผมมาสองสามครั้งแล้ว
โดยฉีดยาเข้าไปในกะโหลกศีรษะ หมายจะให้ยาไปทำลายประสาทที่ปวดแต่ไม่ได้ผล
มันเหมือนกับตีงูให้หลังหัก โรคนี้อาละวาดใหญ่ ที่ฉีดยาเข้าไปในศีรษะนี้ ประมาณสี่ครั้งในสองปี
เมื่อฉีดยาไม่ได้ผล ท่านก็เลยผ่าลงไปในสมองตัดปมประสาทเสียเลย
โดยเจาะกะโหลกศีรษะด้านขวาเหนือหูขึ้นมาหน่อย
คงจะเหมือนกับชาติก่อนที่ไปบีบขมับเขาตามที่แม่หนูเธอว่า..
เจาะแล้วเอากระดูกกะโหลกออกมา ขนาดราวๆ เหรียญสองสลึง ทำให้มีรูเกิดขึ้น
จากนั้นก็เอามีด เอากรรไกร เข้าไปตัดเส้นประสาทเส้นที่ 5 แต่อาจารย์ท่านว่า
การผ่าตัดทำด้วยความยากลำบากมาก เพราะเรื้อรังมานาน
ประกอบกับการได้รับการฉีดแอลกอฮอลล์เข้าไปหลายหน มันก็เกิดพังผืดขึ้น
ผลการผ่าตัดไม่น่าพอใจเท่าไร แต่เชื่อว่าคงให้ผลไม่น้อย
การผ่าตัดประสาทสมองนี้กินเวลาราว ๆ สี่ชั่วโมง เพราะความยากลำบากดังกล่าว
พอราวๆ เที่ยง เขาก็เข็นรถกลับมาที่เดิม ในห้องมีแม่ผม ภรรยา พ่อตา แม่ยาย
ซึ่งทั้งสองท่านนี้ มีศักดิ์เป็นลุงและเป็นป้าของผมด้วย
ทุกคนก็คิดว่าผมคงตายไปแล้ว เพราะนานเหลือทนระหว่างที่คอยรับผมในห้องพยาบาล
และภรรยาก็เล่าเรื่องทั้งหมดเมื่อคืนให้ทุกคนได้ฟัง
ต่างก็รับฟังโดยไม่มีข้อสงสัยใด ๆ ค่ำนั้นก็เกิดอาการปวดขึ้นมาอีก
ทีนี้ปวดสองอย่างคือ ปวดเจ็บในสมองที่ผ่าตัด ปวดแผล
มิหนำซ้ำโรคปวดเดิมก็ไม่ทุเลา ทำให้เกิดทุกข์ทรมานกว่าเก่า
มือทั้งสองก็กุมที่แผล กุมศีรษะร้องปวด ดิ้นไป และแล้วก็นึกได้..
"หนู ช่วยพ่อด้วย" ผมตะโกนออกมาดังๆ
ในห้องนั้นมีญาติพี่น้องมาเยี่ยมกันมากมาย
ต่างก็ได้รับฟังเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด ทุกคนสงบ มีแต่ผมผู้เดียว
ทุรนทุรายอยู่บนเตียง..
ชั่วอึดใจเดียว

ก็ปรากฏร่างของเด็กหญิงที่บอกว่าเคยเป็นลูกผมเมื่อชาติก่อนมานั่งอยู่ข้างเตียง
ผมจึงถามว่า "มาแล้วหรือลูก .. ลูกช่วยพ่อที ตอนนี้ปวดเหลือทนแล้ว"
แม่หนูก็เอามือมาวางที่ศีรษะ แล้วพูดว่า "เดี๋ยวจะทุเลา" ก็เป็นจริงอย่างว่า อาการปวดก็บรรเทาลง

พยาบาลซึ่งถือเข็มฉีดยาจะฉีดให้ก็เลยไม่ต้องฉีด คุณใบก็ช่วยยกเก้าอี้ให้แขกที่แลไม่เห็นนั่งอย่างเคย..
แม่หนูก็นั่งอยู่ข้างเตียง เอาศอกยันเตียงเอามือเท้าคางตามเดิม ผมก็ถามว่า "หนูอ้วน ไปไหนล่ะ"
เธอตอบว่า "ไม่ได้มาวันนี้.."

ทุกคนในห้องฟังผมโต้ตอบพูดคุยกับแม่หนู ผมถามต่อไปว่า "หนูชื่ออะไรจ๊ะ"
เธอตอบว่า ก่อนที่จะตายนี้ "หนูชื่อพิมพวดี"
"หนูเป็นอะไรตาย.."
"เป็นไข้เลือดออกตายค่ะ"
"ตายที่นี่หรือ.."
"ตายที่ตึกเด็กค่ะ"
"ตายเมื่อไรจ๊ะ"
"เมื่อปี 2503 ค่ะ"
"หนูมีพี่น้องกี่คน"
"มีห้าคนค่ะ"
"ผู้หญิง ผู้ชายกี่คน"
"หนูเป็นหญิงคนเดียวค่ะ"
"พ่อแม่ เสียใจมากไหม ที่หนูตายจากไป"
"พ่อแม่เสียใจมาก เพราะหนูเป็นลูกผู้หญิงคนเดียว พ่อสร้างพลับพลาอุทิศส่วนกุศลให้หนูที่วัดมกุฎฯ
เอาชื่อหนูไปตั้งชื่อพลับพลานี้ มีรูปหนูแล้วมีคำจารึก มีศพของหนูฝังอยู่ในนี้ด้วยค่ะ
พ่อดีขึ้นแล้ว หนูขอลาไปก่อน แล้วจะมาหาพ่ออีกจ๊ะ.."

คำพูดทุกคำระหว่างแม่หนูพิมพวดีกับผม ทุกคนในห้องได้ยินได้ฟังและฟังอย่างตั้งอกตั้งใจจริง ๆ
พยาบาลมาฉีดยาให้ผมอีก แล้วผมก็หลับไป จนเช้า โดยไม่มีอาการปวดรุนแรงมารบกวนอีกเลยในคืนนั้น
เหมือนกับยังไม่สิ้นกรรมสิ้นเวร อาการของโรคที่สงบไปคืนหนึ่งนั้น

พอรุ่งเช้าก็เอาอีก ปวดอีก ทุรนทุราย ร้องครวญครางอีก
อาจารย์ท่านก็มาดูอาการทุกเช้าทุกวัน สั่งการรักษาทุกวัน เช้าสบายสายปวด
กลางวันสบาย บ่ายปวดดิ้น หรือพอตอนเย็นสบายชื่นฉ่ำ พอค่ำก็ร้องคราง
เป็นอย่างนี้อีกสามหรือสี่วัน ทุกครั้งที่ปวดผมจะนึกถึงหนูพิมพวดีทันที
ไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน ถ้าเป็นกลางวันก็จะได้ยินเสียงพูดว่า "พ่อ หนูมาแล้ว"
แล้วเธอก็จะเอามือมาช่วยกุมที่ปวดจนผมทุเลา คำพูดที่ผมพูดคือ "มาแล้วหรือลูก.."

ทุกคนที่มาเยี่ยมผม หรือมาอยู่ในห้องจะเงียบสงบ
คอยฟังคำพูดของผมที่พูดกับวิญญาณในเรือนร่างของหนูพิมพ์ อย่างใจจดใจจ่อเหมือนนัดกัน

ในเย็นวันหนึ่ง เย็นมากแล้ว ฯพณฯ ทวี บุณยเกตุ ซึ่งเป็นพี่ชายของผม
ท่านไปเยี่ยมพร้อมด้วยบุตรชายของท่าน คุณวีระวัฒน์ บุณยเกตุ หรือที่ญาติๆ
เรียกชื่อเล่นว่า บู๊ เป็นคนขับรถพาพี่ชายไปที่ศิริราช ท่านถึงอนิจกรรมไปแล้ว เหลือคุณวีระวัฒน์
ซึ่งเดี๋ยวนี้ดำรงตำแหน่งเป็นรองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม
กระทรวงอุตสาหกรรม คุณทวีเป้นประจักษ์พยานท่านหนึ่ง

โดยในขณะนั้นอาการปวดของผมกำเริบอีก ปวดมากขึ้นๆ ผมก็นอนร้องเรียกหนูพิมพ์ให้มาช่วย
คุณทวีท่านทราบเรื่องอยู่บ้างแล้วจากปากคำของญาติๆ ท่านก็เลยนั่นอยู่
ปกติท่านไปเยี่ยมผมบ่อยมาก แต่ไปนั่งไม่นาน เพราะท่านทนความสงสารในความทุกข์ทรมานของผมไม่ไหว
เย็นนั้นท่านนั่งอยู่นานหน่อย พอดีผมปวดมาก แล้วร้องเรียกหนูพิมพ์ว่า "ลูกมาช่วยพ่อที"
คุณทวีทราบเรื่องนี้จากญาติพี่น้องมาหลายครั้งแล้ว ครั้งนี้ท่านมาเห็นพอดี
คือผมเรียกหนูพิมพ์ หนูพิมพ์ก็มา ผมก็ถามเธอว่า "ผ่าแล้ว ทำไมยังไม่หายอีก"

หนูพิมพ์ตอบว่า "ยังไม่หาย ยังไม่หมดเวรกรรมที่ทำไว้.."
แล้วเมื่อไรจะหาย เธอตอบว่า "ราวๆอีกสี่ปี พ.ศ. 2508 นั่นแหละ"
ผมถามดังๆ ต่อไปว่า "แล้วทำอย่างไรต่อไป"
เธอตอบว่า "พรุ่งนี้ แปดโมงเช้า หมอจะเอาตัวไปผ่าอีก จะต้องผ่าอีกสองครั้ง รวมสี่ครั้งในคราวนี้.."
ผมก็ทวนคำพูดของเธอแล้วร้องว่า "ต้องผ่าอีกสี่ครั้งเชียวรึ.."

คุณทวีนั่งฟังอย่างสงบ ทุกคนเงียบและคอยฟัง ครู่ใหญ่ ๆ อาการปวดก็บรรเทา
หนูพิมพ์จึงบอกกับผมว่า "หนูจะลาไปก่อน วันนี้รีบหน่อย เพราะจะไปรับกุศลที่เขาอุทิศให้ที่พลับพลาพิมพวดี.."
ทุกคนได้ยินคำพูดที่ผมทวนคำพูดของหนูพิมพ์ ผมจึงถามเธอว่า "เขาอุทิศส่วนกุศลให้เรื่องอะไร"
เธอตอบว่า "เขาบำเพ็ญกุศลศพใครไม่รู้คืนนี้ที่พลับพลา คนตายมีเหรียญ มีตรา มีสายสะพาย.."
ผมก็ทวนคำพูดออกมาดังๆ คุณทวีที่นั่งอยู่ก็อยากพิสูจน์ จึงให้วีระวัฒน์ลูกชาย
ขับรถยนต์ออกไปเดี๋ยวนั้น ไปดูซิว่าที่พลับพลาพิมพวดีวัดมกุฏฯ มีการบำเพ็ญกุศลใคร ศพเหรียญตรา
น่าจะรับพระราชทานเพลิงที่สุสานหลวงวัดเทพศิรินทร์ เพราะญาติหนูพิมพ์บอกว่ามีสายสะพาย

คุณวีระวัฒน์ บุณยเกตุ จึงรับขับรถออกไปจากศิริราชทันที ไปที่วัดมกุฎฯ
พอถึงพลับพลาพิมพวดี ก็เดินเข้าไปดูหน้าพลับพลาปรากฏว่าเป็นความจริง
คืนนั้นมีการนำศพออกมาจากสุสานมาบำเพ็ญกุศล พรุ่งนี้จะรับพระราชทานเพลิง
เป็นศพของรองอธิบดีกรมเจ้าท่า ผมก็ลืมชื่อของท่านเสียแล้ว รูปถ่ายหน้าโกฐ
เป็นรูปเต็มยศ มีเหรียญตรา มีสายสะพายจริง
คุณวีระวัฒน์ จึงรีบขับรถมาเรียนคุณทวีว่าเป็นอย่างที่ผมทวนคำพูดของหนูพิมพ์ทุกประการ
คุณทวีนั่งสงบ กล่าวออกมาคำเดียวว่า แปลก แต่จริง..
ผมต้องเล่าย้อนไปนิดหน่อย คือตอนที่หนูพิมพ์นั่งอยู่ข้างเตียงผม
เอามือเท้าคางยันขอบเตียงอย่างเคย เธอพูดว่า "เสียดาย.."
ผมถามว่า "เสียดายอะไร"
เธอตอบว่า "แก้วระย้าโคมไฟที่พลับพลา คนที่ยกขาหยั่งวางพวงหรีด
ทำขาหยั่งไปโดนโคมแก้วช่อระย้าตกลงมาแตกหลายช่อ ทำให้ไม่สวย พ่อแม่ก็ไม่ทราบ
อีกสองสามวันคุณพ่อหนูชาตินี้จะมาเยี่ยมพ่อ พ่อช่วยบอกคุณพ่อหนูให้ช่วยเปลี่ยนระย้าที่ตกลงมาแตกให้ท
หนูไม่สบายใจ.."
ผมทวนคำพูดนี้ให้ทุกคนได้ยิน ทั้งคุณทวีด้วย ก่อนที่คุณวีระวัฒน์จะกลับมาจากวัด มารายงานเรื่องศพที่พลับพลานั้น.

คุณทวีและบุตรชาย กลับไปด้วยความประหลาดใจว่า ผมนอนเจ็บอยู่ที่เตียงตั้งสิบกว่าวัน
ทำไมรู้เรื่องที่จะเผาศพรองอธิบดีกรมเจ้าท่า และศพตั้งบำเพ็ญกุศลที่พลับพลาพิมพวดี..วิญญาณคงมาบอกจริงๆ
วิญญาณมีจริงหรือ คนตายแล้วยังวนเวียนอยู่หรือ อะไรที่มาพูดกับน้องชาย ผมว่าท่านคงนั่งคิดนอนคิดไปนาน

คืนนั้นผมปวดอีกครั้งหนึ่ง พอเช้า อาจารย์หมออุดมก็มาเยี่ยมเช่นเคย
พอทราบว่ายังปวดอีก ท่านก็ยืนอยู่ครู่ใหญ่ แล้วหันมาสั่งพยาบาลว่า
ไปบอกหัวหน้าตึกให้เตรียมคนไข้นี้ไปห้องผ่าตัดอีกที เช้าวันนี้ก่อนแปด น.

ผมตะลึง ภรรยาและพยาบาลงง ทุกคนในตึกนั้นเมื่อทราบคำสั่งก็ประหลาดใจ
เพราะพยาบาลที่เฝ้าเธอเล่าให้เพื่อนๆ ฟังตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้วว่า
เช้านี้ผมจะต้องถูกผ่าอีกเพราะหนูพิมพ์บอกล่วงหน้าไว้

แล้วผมก็ถูกนำไปห้องผ่าตัด ดมยาสลบ ผ่าตัดดึงเอารากประสาทเส้นนี้ออก โดยพยายามดึงเอาออกให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
ราวๆเกือบเที่ยงก็กลับมาที่ห้องนอนที่ตึกพัก โดยสลบมาบนรถเปลตามเคย
พอฟื้นมา อาการปวดเจ็บแผลก็มาแทน แต่อันนี้ระงับได้ด้วยการฉีดยา
พยาบาลมาฉีดยาระงับปวดให้เป็นระยะๆ พอค่ำลงก็สงบ ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง
เข้ามาเยี่ยมกันมากมายตามเคย ที่มาเยี่ยมจริงๆ ก็มี
ที่อยากรู้เรื่องวิญญาณของเด็กที่มาช่วยผมก็มี

พอสักสามทุ่มคืนนั้น หนูพิมพ์ก็มาอีกตามเคย เธอเอามือมาวางที่ขมับผม
ปวดทั้งแปลผ่าตัดและที่ปวดอยู่เดิม ทำอย่างไรมันก็ไม่หาย ผมนอนทนเอา
ภาวนาบริกรรมไปจนหลับไปในทีสุด แล้วเธอก็กลับไปเมื่อผมสงบ

ข่าวลือจากปากต่อปาก ไปไกลยิ่งกว่าประชาสัมพันธ์ทางสื่อมวลชน
และก็แน่นอนข่าวนั้นก็ย่อมต้องมากกว่าความเป็นจริง จนวันหนึ่ง คุณชิต สุวรรรปัทม์
เคยเป็นพยาบาลอาวุโสที่สายนัดดาคลีนิคของท่าน น.พ.ม.ล.เต่อ สนิทวงศ์
ซึ่งผมเคยทำงานอยู่กับท่านเมื่อ พ.ศ. 2493 ถึง 2495 ก็สามสิบแปดปีมาแล้ว
เป็นคนชอบพอกันในสมัยที่ทำงานอยู่ด้วยกัน เธอมาเยี่ยมแล้วมาบอกกับผมว่า จะมีคนมาพบมาหา
และมาคุยเรื่องหนูพิมพ์ ผมก็บอกเธอว่า ก็มีอย่างที่พยาบาลและภรรยาผมได้ยินได้ฟังก็เท่านั้น
ไม่มีอะไรมากกว่านั้น คุณชิต นี่ถึงแก่กรรมไปเมื่ออายุราวๆ 70 ปี เมื่อ 4-5 ปีมานี่

ถัดต่อมาอีกวันหรือสองวัน เย็นๆ มีชายหญิงคู่หนึ่ง
ซึ่งผมไม่รู้จักกันมาก่อนมาขอเยี่ยม ดูเหมือนจะเป็นเวลาประมาณ 18-19 นง
ขณะนั้นผมอาการดีขึ้นนิดหน่อย ไม่ใช่กำลังปวดประสาท
สองท่านก็มานั่งสนทนาด้วยแล้วก็เลียบเคียงเข้ามาถามเรื่องหนูพิมพ์ ผมก็สรุปให้ท่านฟังนิดๆ หน่อยๆ
มีภรรยาและพยาบาลที่เฝ้าคอยเสริมให้แจ่มชัดขึ้น
สองท่านนี้เอาพวงมาลัยดอกมะลิพวงใหญ่ๆ มาแขวนให้ผมที่หัวนอน
เตียงในห้องเผอิญจุดธูปหอมบูชาพระ กลิ่นผสมกันหอมพิกุล ทำท่าจะเป็นวัดหรือศาลเจ้าไปหลำไปโน่น

สักครู่ใหญ่ คุณผู้ชายที่มาด้วยก็ขออนุญาตเอารูปถ่ายเด็กๆ ผู้หญิงราวๆ
สักสามสิบใบเห็นจะได้ มาวางเรียงๆ กันบนที่นอน
ผมชักสงสัยท่านจะมาทำพิธีปัดรังควาน หรือทำพิธีแขกที่เรียกว่า อิศวระกุมารี
คือเอาเด็กๆ พรหมจรรย์มาบูชาพระอิศวร บนบานสาลกล่าวให้ผมหายป่วยไข้หรืออย่างไร
แต่ไม่ใช่ พอท่านค่อยๆ เอารูปถ่ายขนาดสักสองนิ้วบ้าง สามนิ้วบ้าง
มาวางเรียงเต็มหน้าเตียงที่ผมนอนอยู่เรียบร้อยแล้ว ท่านก็ถามว่า
คุณหมอช่วยชี้ซิครับ ว่าคนที่มาหาคุยกับคุณหมอ
แล้วบอกว่าชาติก่อนเป็นลูกสาวคุณหมอ และชาตินี้เกิดมาเป็นลูกสาวผมน่ะ
คนไหนในรูปถ่ายที่นำมาเรียงอยู่นี่ ผมลุกขึ้นนั่งแล้วหยิบแว่นตามาสวมดูไปทีละรูปๆ ดูไม่นานนัก
โดยวิธีหยิบรูปที่ไม่ใช่หนูพิมพ์ออกมากองไว้พวกหนึ่ง หยิบออกมากองทีละใบๆ
เหลือใบสุดท้ายทิ้งไว้บนเตียงหนึ่งใบ แล้วก็หยิบรูปนี้ขึ้นชูพลางบอกว่า "หนูคนนี้แหละครับ ที่มาหาผมทุกวัน.."

ทั้งสองท่านที่มาเยี่ยม หุบรอยยิ้มที่มุมปาก คุณผู้หญิงร้องไห้โฮใหญ่
คุณผู้ชายเช็ดน้ำตาแล้วบอกว่า "ใช่แล้วครับ รูปนี้คือรูปถ่ายหนูพิมพวดีลูกสาวผม ถ่ายในเครื่องแบบนักเรียน
ส่วนรูปอื่นๆ นั้นเป็นรูปเพื่อนๆ ของหนูพิมพ์.."

ห้าหกชีวิต ในห้องพักคนไข้ที่ผมนอนป่วยอยู่เงียบหมด แทบไม่ได้มีแม้แต่เสียงลมหายใจ
ต่างคนต่างก็เขยิบเข้ามาดูรูปหนูพิมพ์ที่วางอยู่บนเตียง ซึ่งตอนนี้อยู่ในมือผม

พอบรรยากาศเริ่มคลี่คลายในทางปกติขึ้นแล้ว ท่านที่มาเยี่ยมก็บอกว่า
"ผมทราบจากคุณชิต ก็เลยมาถือโอกาสเยี่ยมและสอบถามถึงลูกสาวผม..ทุกวันนี้ผมก็ยังระลึกถึงหนูพิมพ
์อยู่เสมอ แกเป็นเด็กที่น่ารักน่าเอ็นดูมาก ท่านั่งประจำของแกก็คือท่านั่งเท้าคางเอาข้อศอกยันพื้นไว้
อย่างที่คุณหมอพูดจริงๆ ผมชื่อ เสียง โหสกุล ครับ ผมมีกิจการส่วนตัวค้าขายเครื่องอะไหล่รถยนต์ทุกชนิด
ที่เป็นตึกสามชั้นอยู่ตรงสามแยกสะพานนพวงศ์ทิศใต้ของโรงเรียนวัดเทพศิรินทร์นี่เองครับ.."

ผมก็ถามคุณเสียงว่า "คุณเสียงมีบุตรธิดากี่คน"
คุณเสียงก็บอก ซึ่งผมจำไม่ได้ว่าสามหรือสี่คน แต่ที่แน่ๆ มีธิดาคนเดียวคือหนูพิมพ์นี่
เธอป่วยด้วยไข้เลือดออกเสียชีวิตที่ตึกเด็ก โรงพยาบาลศิริราฃ ประมาณปี พ.ศ. 2503 จริง
ส่วนเรื่องเด็กหญิงคนอ้วนๆ ที่ตายด้วยโรคอ้วนนั้นไม่ทราบเรื่อง..

ผมก็ถามคุณเสียงว่า มีอะไรเกี่ยวกับหนูพิมพ์อีกไหม ผมอยากทราบ
คุณเสียงก็พูดว่า เช้าวันหนึ่งพระภิกษุสงฆ์ห้ารูปจากวัดเทพศิรินทร์นี่เอง
ได้เดินไปที่ร้านเสรีวัฒนามีตาลปัตรทุกองค์ และมีลูกศิษยืตามไปด้วยสองสามคน
พอพระท่านเดินทางไปถึง ก้ก้าวเข้าไปในร้านา ลูกศิษย์ก็ร้องบอกว่า
พระมาแล้วครับ คุรเสียงก็งงจึงถามว่ามาเรื่องอะไร..

พระรูปหนึ่งในคณะก็พูดว่าที่เมื่อเย็นวานนี้ให้เด็กผู้หญิงไปนิมนต์พระมารับสังฆทานห้ารูป
นิมนต์ให้มาที่นี่ คุณเสียงก็พูดว่าไม่เคยให้เด็กคนไหนไปนิมนต์
พอดีพระองคืหนึ่งเหลือบไปเห็นรูปถ่ายของหนูพิมพ์ที่ติดไว้ข้างฝา ท่านก็ชี้ว่า
หนูคนนี้แหละที่ไปนิมนต์อาตมา นั่งอยู่ด้วยกันสามองค์ ได้ยินชัดทั้งสามองค์
ส่วนสององค์นั้น อาตมานิมนต์มาให้ครบห้าองค์ตามที่แม่หนูบอก..
คุณเสียงตะลึงและงงเป็นที่สุด จะไม่เชื่อก็ไม่ได้ และเผอิญวันนี้เป็นวันที่ถึงแก่กรรมของหนูพิมพ์
พ่อแม่จะทำบุญใส่บาตรอุทิศส่วนกุศลไปให้อยู่แล้ว

ฉะนั้นก็เลยเปลี่ยนเป็นทำสังฆทานตามที่หนูพ

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์