แคทเธอรีน เฮย์ ต้นตำรับคดีฆ่าหั่นศพ

เช้าตรู่ของวันที่ 5 มีนาคม 1726 ที่ตำบลเวสต์มินส์เตอร์ รัฐคิงส์แลนด์ ศรีษะของผู้ชายคนหนึ่งถูกขุดขึ้นมาจากหล่มโคลน ในสภาพกะโหลกศรีษระถูกทุบแตกละเอียด แก้มทั้งสองข้างมีรอยกรีดเป็นทางยาว ที่คอมีแผลเหวอะหวะขนาดใหญ่ ที่บอกให้รู้ว่าเพิ่งถูกตัดขาดออกจากลำตัวได้ไม่นาน คะเนจากหน้าตาแล้วเจ้าของศรีษระนั้นน่าจะมีอายุประมาณ 30 ปลายๆ แต่ชายเคราะห์ร้ายคนนี้เป็นใครมาจากไหน ยังคงเป็นปริศนาที่ตำรวจจะต้องค้นหาต่อไป

ต่อมาในวันที่ 12 มีนาคม แคทเธอรีน เฮย์ ภรรยาสาวสวยของพ่อค้าถ่านหินไปแจ้งความที่สถานีตำรวจว่าสามีของเธอหายตัวไปจากบ้านได้สัปดาห์หนึ่งแล้ว เมื่อเจ้าหน้าที่พาไปยังห้องเก็บศพแล้วนำศรีษระอันนั้นออกมาให้ดู แคทเธอลีนก็ร้องไห้โฮ เธอถลันเข้าไประดมจูบหัวที่ไร้ร่างอย่างบ้าคลั่งก่อนเป็นลมล้มพับไป เพียงเท่านี้ตำรวจก็รู้ได้ทันทีว่าศรีษระที่พบต้องเป็นของจอห์น เฮย์ สามีของเธออย่างแน่นอน อีก 14 วันต่อมา มีคนพบแขน น่อง และขาของจอห์น เฮย์ถูกหั่นเป็นชิ้นๆ โยนทิ้งกระจัดกระจายอยู่ในทุ่งนาแถบมารีลโบน เหลือก็แต่ลำตัวที่ขาดหายไป ตำรวจจึงระดมกำลังเจ้าหน้าที่ไปค้นหาตามพงหญ้าทุกกอ จนกระทั่งพบชิ้นส่วนท่อนลำตัวของจอห์น นอนนิ่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของทุ่งนานั่นเอง

ในศตวรรษที่ 17 การฆาตกรรมแล้วชำแหละศพเป็นชิ้นๆ อย่างโหดเหี้ยมเป็นปรากฏการณ์ใหม่ที่ไม่เคยพบมาก่อน คดีฆ่าหั่นศพ จอห์น เฮย์ จึงเป็นที่โจษจันไปทั่วเมือง ตำรวจต้องทำงานกันทั้งวันทั้งคืน เพื่อปิดคดีสะเทือนขวัญโดยเร็วที่สุด แล้วตำรวจก็เจอแจ็คพ็อต เพราะในระหว่างที่ฆาตกรนำหัวไปโยนทิ้งที่เวสต์มินสเตอร์นั้น คนขับเรือรับจ้างบังเอิญผ่านมาเห็นหน้าฆาตกรโหดเข้าพอดี รูปร่างหน้าตาของคนร้ายจึงถูกเปิดเผยออกมา นำไปสู่การจับกุมคนขายเนื้อ โธมัส วู้ด และโธมัส บิลลิงส์ ญาติห่างๆ ที่มาอาศัยอยู่ในบ้านของจอห์นนั่นเอง อย่างไรก็ตามตำรวจก็ยังไม่เชื่ออยู่ดีว่า สองหนุ่มที่ไม่เคยมีเรื่องกับผู้ตายมาก่อนจะสิ้นคิดลุกขึ้นมาฆ่าจอห์นกลางดึก โดยไม่แตะต้องแคทเธอรีน ภรรยาสาวสวยของเขาเลย คดีนี้จึงน่าจะมีเงื่อนงำซับซ้อนมากกว่าที่เห็น และเมื่อนำตัววู้ดกับบิลลิงก์มาสอบปากคำ ทั้งคู่ก็ให้การซัดทอดแคทเธอรีน ว่าเป็นผู้ชักใยอยู่เบื้องหลัง สมดังที่ตำรวจสันนิษฐานไว้จริงๆ

แคทเธอรีน เฮย์ เกิดในหมู่บ้านไกลปืนเที่ยงเล็กๆ ในเมืองเบอร์มิงแฮม เธอเป็นผู้หญิงใจกล้าเปรี้ยวและเปรียวมาตั้งแต่เด็ก พออายุ 15 ปี แคทเธอรีนก็หนีตามนายทหารคนหนึ่งไป ด้วยความหวังว่าเขาจะช่วยให้เธอหลุดพ้นจากความยากไร้ในบ้านป่าเมืองเถื่อน แต่วิมานในฝันของสาวแคทก็พังทลายลงอย่างรวดเร็ว เพราะแค่อยู่กินกันไม่กี่เดือน เธอก็พบว่าเงินเดือนของคนรักนั้นน้อยนิดแทบไม่พอยาไส้ เธอจึงเลิกกับเขาแล้วหันไปควงชายอื่นอีกมากหน้าหลายตา แต่ก็ยังไม่พบใครที่จะเป็นที่พึ่งได้จริงๆ สักที

ต่อมาแคทเธอรีนได้ไปเป็นคนรับใช้ในฟาร์มแห่งหนึ่ง ความสวยของเธอไปสะดุดตา จอห์น เฮย์ ลูกชายขี้อายของเจ้าของฟาร์มเข้าอย่างจัง ผู้ชายหงิมๆ อย่างจอห์นนั้น เมื่อเทียบกับผู้หญิงกร้านโลกอย่างแคท ก็ต้องเรียกว่ากระดูกคนละเบอร์ จึงไม่ยากที่สาวเจ้าจะใช้มารยาหญิงล่อหลอกเขาจนหลงรัก และขอแต่งงานในที่สุด เหตุผลที่แคทเธอรีนเลือกจอห์นเป็นสามี เป็นเพราะเขามีภาษีดีกว่าผู้ชายทุกคนที่มาติดพันเธอ แต่อย่างไรก็ตามการเป็นเมียชาวไร่ก็ยังไม่ใช่ชีวิตที่เธอต้องการอยู่ดี เธอทนอยู่ในบ้านนาได้เพียง 6 ปี แคทเธอลีนก็บังคับให้สามีขายฟาร์มแล้วย้ายไปรัฐคิงส์แลนด์ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ มีแสงสีสนุกสนานถูกใจเธอมากกว่า 

ที่นี่ จอห์นหันไปทำอาชีพพ่อค้าถ่านหินและปล่อยเงินกู้ ปรากฏว่ากิจการประสบความสำเร็จเกินคาด จนเขาสามารถสร้างเนื้อสร้างตัวเป็นปึกแผ่น พลอยให้แคทเธอรีนเป็นคุณนายสมใจหวังไปด้วย ถ้าไม่นับสามีที่น่าเบื่อทุกขณะจิตแล้ว  ชีวิตของเธอในขณะนี้มีทุกอย่างอย่างที่เคยฝันไว้เลยทีเดียว ถึงจอห์นจะเก่งก็เก่งเฉพาะเวลาอยู่นอกบ้าน แต่เมื่อไรที่เข้าบ้าน เขาจะกลายเป็นลูกไล่ให้แคทเธอรีนสับโขกทันที ด้วยเหตุนี้เมื่อวันดีคืนดี เด็กหนุ่มแปลกหน้านามว่า โธมัส บิลลิงส์ ก็ปรากฏตัวขึ้น และแคทเธอรีนแนะนำว่าเป็นญาติของเธอที่จะมาพักอยู่ด้วย จอห์นจึงพูดอะไรไม่ออก ตั้งแต่บิลลิงส์เข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ในครอบครัว แคทเธอรีนก็หน้าตาแจ่มใสราวกับดอกไม้ได้น้ำ เพราะได้ชายคนใหม่มาเติมเต็มความสุขบนเตียงให้จนเต็มอิ่ม ยิ่งต่อมาโธมัส วู้ด เพื่อนของบิลลิงส์มาขออาศัยอยู่ด้วยอีกคน แคทเธอรีนก็กลายเป็นราชินีสาวที่มีบริวารหนุ่มร่างกำยำคอยปรนนิบัติถึงสองคน

แต่การคบชู้ใต้จมูกสามีไม่ใช่เรื่องง่ายนัก แคทเธอรีนรู้นิสัยจอห์นว่าถึงแม้ปกติเขาจะยอมอยู่ในโอวาทของเธอ แต่จอห์นก็ไม่ได้โง่ เมื่อไหร่ที่เขารู้ว่าถูกเธอสวมเขา เธอจะต้องถูกไล่ออกไปจากบ้านหลังนี้โดยไม่มีเงินติดตัวเลยแม้แต่แดงเดียว แคทเธอรีนเป็นคนกล้ามาแต่ไหนแต่ไร เธอจึงไม่ลังเลที่จะวางแผนฆาตกรรมสามีเพื่ออนาคตของตัวเอง เธอรีบไปเกลี้ยกล่อมชายชู้ทั้งสองให้ร่วมมือด้วย โดยสัญญาว่าจะแบ่งสมบัติของจอห์นให้บิลลิงส์และวู้ดไปตั้งตัว เมื่อมีผลประโยชน์ก้อนโตเป็นเครื่องล่อใจ ชายทั้งสองก็ตกลงโดยไม่ลังเล 

ตอนค่ำของวันที่ 1 มีนาคม 1726 หลังจากกินอาหารเย็นเสร็จเรียบร้อย บิลลิงส์ก็แกล้งชวนให้จอห์นดื่มเหล้าแข่งกับพวกตน งานนี้จอห์นเสียเปรียบเต็มประตูเพราะบิลลิงส์และวู้ดผลัดกันดื่ม ในขณะที่เขาต้องกระดกทั้งเบียร์ ไวน์และเหล้าคนเดียว ด้วยเหตุนี้ไม่ถึงชั่วโมงจอห์นก็เมาแอ๋ บิลลิงส์กับวู้ดจึงพาชายเคราะห์ร้ายเข้าไปในห้องนอน ก่อนที่บิลลิงส์จะทุบกระโหลกจอห์นด้วยขวานหลายครั้งจนถึงแก่ความตาย เมื่อเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดสงบลง แคทเธอรีนก็เดินตามเข้ามาในห้อง ร่างไร้วิญญาณที่อาบไปด้วยเลือดของสามีไม่ทำให้จิตใจที่หยาบกระด้างของเธออ่อนไหวเลย ตรงกันข้ามเธอกลับออกความเห็นว่าน่าจะตัดหัวจอห์นออกแล้วหั่นศพเป็นชิ้นๆ จะได้สะดวกในการเคลื่อนย้ายศพ

วู้ดซึ่งเป็นคนขายเนื้อมาก่อนใช้ความรู้เดิมที่ติดตัวมา ตัดคอและชำแหละศพตามคำสั่ง ก่อนจะเอาส่วนหัวซ่อนไว้ในเสื้อคลุมยาวเพื่อนำไปทิ้ง ขณะที่ทั้งคู่ออกจากบ้าน แคทเธอรีนก็แกล้งตะโกนเสียงดังตามหลัง เพื่อให้เพื่อนบ้านคิดว่าคนที่ออกจากบ้านไปกลางดึกก็คือจอห์น ตอนแรกพวกเขาตั้งใจจะจมหัวของจอห์นไว้ก้นแม่น้ำเธมส์ แต่เมื่อพายเรือออกไปจริงๆ ก็พบว่าโชคไม่เข้าข้างเอาเสียเลย  เพราะขณะนั้นเป็นหน้าแล้งน้ำในแม่น้ำส่วนใหญ่แห้งขอด เมื่อไม่มีทางเลือกพวกเขาทั้งคู่ก็ตัดสินใจฝังหัวไว้ใต้โคลน จากนั้นก็กลับไปนำแขน ขา และส่วนลำตัวไปโยนทิ้งในทุ่งนา

ขณะเดียวกัน แคทเธอรีนก็สงบอกสงบใจรออยู่สามวัน ก่อนจะไปแจ้งความว่าสามีหายตัวไป เธอไม่คาดฝันเลยว่าตำรวจจะพบหัวของจอห์นก่อนหน้านั้นแล้ว แต่เมื่อตำรวจพาไปดูส่วนหัวที่เก็บไว้ในห้องเก็บศพ สาวเจ้าก็ตั้งสติได้ และลงมือแสดงละครเป็นเมียสาวที่อาลัยสามีจนแทบจะตายตาม การแสดงอันแนบเนียนของเธอปัดความสงสัยของตำรวจไปได้จนหมดสิ้น นี่ถ้าไม่เป็นเพราะคนขับเรือจ้างที่บังเอิญไปเห็นบิลลิงส์กับวู้ดขณะกำจัดหลักฐาน แคทเธอรีนก็ยังคงเป็นภรรยาม่ายผู้น่าสงสารในสายตาทุกคนต่อไป

เมื่อคดีถูกนำขึ้นศาลแคทเธอรีนก็ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา แต่คำให้การซัดทอดของสองฆาตกร วู้ดและบิลลิงส์มัดตัวแน่นหนาเสียจนไม่ว่าจะฉลาดเป็นกรดแค่ไหน ผู้หญิงใจอำมหิตก็หนีความผิดไม่พ้น ศาลจึงตัดสินให้เธอชดใช้กรรมด้วยการถูกเผาทั้งเป็น พอรู้ว่าจะต้องตาย แคทเธอรีนก็เปิดเผยความลับที่น่าตกใจออกมาว่า บิลลิงส์นั้นที่จริงเป็นลูกชายของเธอเอง ซ้ำยังเป็นลูกลับๆ ที่เธอมีกับบิดาของจอห์นเมื่อตอนที่เธอไปเป็นคนรับใช้ในบ้านของเขา ต่อมาจอห์นมาติดพันเธอ แคทเธอลีนจึงแอบไปคลอดลูกโดยไม่ให้ใครรู้ ถ้าสิ่งที่เธอพูดเป็นความจริงก็หมายความว่าบิลลิงส์ได้ฆาตกรรมพี่ชายต่างมารดา ทั้งยังหลับนอนกับแม่แท้ๆ ของตัวเองอีกด้วย

จุดจบของแคทเธอรีนเป็นไปอย่างสยดสยองยิ่งนัก เพชรฆาตใช้โซ่มัดรอบคอและเอวของเธอติดกับหลักประหาร จากนั้นจึงราดน้ำมันไปรอบๆ แล้วจุดไฟ พอเห็นว่าความตายกำลังจะมาถึงตัว แคทเธอลีนก็ร้องขอความเมตตาอย่างบ้าคลั่ง เธอดิ้นรนสุดฤทธิ์เพื่อให้พ้นจากพันธนาการ ยิ่งเมื่อเปลวไฟลามมาถึงเท้าเธอก็กระโจนหนีไปมา โซ่เหล็กที่รัดเอวไว้ถูกกระชากเต็มแรงจนคนที่มาชมการประหารได้ยินเสียงกระดูกของเธอหักอย่างชัดเจน จากนั้นเปลวไฟก็กลืนกินร่างที่กำลังดิ้นพราดๆ ด้วยความทรมาน บิลลิงส์ถูกประหารเป็นรายถัดมา แต่เนื่องจากไม่ใช่คนต้นคิด ศาลจึงปราณีให้เขาถูกแขวนคอแทนการเผาทั้งเป็น ส่วนวู้ดถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตเพราะให้การที่เป็นประโยชน์ต่อตำรวจ และเขาก็เป็นแค่ลูกมือช่วยชำแหละศพ ไม่ได้ลงมือสังหารด้วย

คดีของจอห์น เฮย์เป็นคดีแรกที่ทำให้โลกรู้จักคำว่าฆ่าหั่นศพ และที่น่าสยดสยองยิ่งไปกว่านั้นก็คือคดีอำมหิตนี้เกิดจากการบงการของผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งเท่านั้น

ขอบคุณที่มา:anyapedia

แคทเธอรีน เฮย์ ต้นตำรับคดีฆ่าหั่นศพ

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์