ฟังกี่ครั้งก็อบอุ่นหัวใจ...๕ เรื่องเล่าแสนประทับใจของ ในหลวง รัชกาลที่ ๙

หลังจาก "พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช" เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ ๑๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ ได้สร้างความโศกเศร้าแก่พสกนิกรไทยทั่วหล้า ต่อการสูญเสียพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเสียสละและทำเพื่อประชาชนของพระองค์อย่างแท้จริงมาตลอด ๗๐ ปีแห่งการครองราชสมบัติ  โดยเพื่อเป็นการระลึกถึง "พ่อหลวง" ผู้เป็นที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทย จึงได้รวบรวม ๕ เรื่องเล่าสุดประทับใจจากคนที่ได้เข้าเฝ้าฯ และใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทมาให้ได้ฟังกัน ซึ่งเป็นเพียงส่วนหนึ่งจากเรื่องเล่าสุดประทับใจเกี่ยวกับ "ในหลวง รัชกาลที่ ๙" ซึ่งมีมากมายมหาศาลและเราคงเล่าให้ลูกหลานฟังมิรู้จบ

เรื่องเล่าแสนประทับใจ ถึง ในหลวง รัชกาลที่ ๙

ฟังกี่ครั้งก็อบอุ่นหัวใจ...๕ เรื่องเล่าแสนประทับใจของ ในหลวง รัชกาลที่ ๙

เสียงปริศนา

ในวันเสด็จพระราชดำเนินกลับประเทศสวิตเซอร์แลนด์เพื่อทรงศึกษาต่อ ขณะที่ประทับรถพระที่นั่งไปสู่สนามบินดอนเมือง พระองค์ทรงได้ยินเสียงตะโกนดังๆ ว่า “ในหลวง อย่าทิ้งประชาชนนะ” ทำให้ทรงนึกตอบบุคคลผู้นั้นในพระราชหฤทัยว่า “ถ้าประชาชน ไม่ทิ้งข้าพเจ้าแล้วข้าพเจ้าจะทิ้งประชาชนอย่างไรได้” เป็นที่น่าประหลาดว่า ต่อมาอีกประมาณ ๒๐ ปี พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงพบชายที่ร้องตะโกนทูลพระองค์ไม่ให้ทิ้งประชาชนนั้นเป็นพลทหาร และออกไปทำนาอยู่ในต่างจังหวัด เขากราบบังคมทูลสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ไม่ทรงทิ้งราษฎร

เขาทูลว่า ตอนที่เขาร้องไปนั้น เขารู้สึกว้าเหว่ และใจหายที่เห็นพระเจ้าแผ่นดินจะเสด็จฯ ไปจากเมืองไทย กลัวจะไม่เสด็จฯ กลับมาอีก เพราะคงจะทรงเข็ดเมืองไทย เห็นเป็นเมืองที่น่ากลัว น่าสยดสยอง เขาดีใจมากที่ได้เฝ้าฯ อีก กราบบังคมทูลถามว่า “ท่านคงจำผมไม่ได้ ผมเป็นคนร้องไม่ให้ท่านทิ้งประชาชน” พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรับสั่งถามว่า “เราน่ะรึที่ร้อง” “ใช่ครับ ตอนนั้นเห็นหน้าท่านเศร้ามาก กลัวจะไม่กลับมา จึงร้องไปเหมือนคนบ้า” พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชตึงทรงตอบ “นั่นแหละ ทำให้เรานึกถึงหน้าที่ จึงต้องกลับมา”

ฟังกี่ครั้งก็อบอุ่นหัวใจ...๕ เรื่องเล่าแสนประทับใจของ ในหลวง รัชกาลที่ ๙

อยากรู้เหมือนกัน

เมื่อสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีมีพระชนมายุ ๘ พรรษา ทรงทูลถามพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ว่า

“ข้าวสาร ๑ กระสอบมีกี่เม็ด?”
 
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ทรงอธิบายว่า ข้าวสาร ๑ กระสอบมีน้ำหนัก ๑๐๐ กิโลกรัม..กิโลกรัมหนึ่งมีเครื่องชั่งวัดได้ ๑๐ ขีด ดังนั้นก็เอาภาชนะไปตวงข้าวสารมาชั่งได้ ๑ ขีด..แล้วนับข้าวสารที่ตวงมานั้นว่ามีกี่เม็ด…แล้วก็เอา ๑๐ คูณ…เสร็จแล้วก็เอา ๑๐๐ คูณผลลัพธ์อีกที…ก็จะได้จำนวนเมล็ดข้าวสารใน ๑ กระสอบ
สมเด็จพระเทพฯ ทรงทูลว่า “ไม่อยากรู้แล้ว”
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ จึงทรงสอนว่า…ไม่ได้หรอก หากถามก็แสดงว่าอยากรู้ ดังนั้นจงไปทำการหาข้าวสารมาตวงและนับเสีย เมื่อได้ผลเป็นอย่างไรให้มาบอกด้วยว่าข้าวสาร 1 กระสอบมีกี่เม็ด?…
..เพราะว่าก็อยากรู้เหมือนกัน

ฟังกี่ครั้งก็อบอุ่นหัวใจ...๕ เรื่องเล่าแสนประทับใจของ ในหลวง รัชกาลที่ ๙

ตัวยึกยือ

มนูญ มุกข์ประดิษฐ์ รองเลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อดีตเลขาธิการ สำนักงานกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ เล่าว่า

เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ เสด็จพระราชดำเนินด้วยพระบาทเข้าไปในป่ายาง ท่ามกลางฝนตกหนักโดยมีสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ตามรอยพระยุคลบาทไปไม่ห่าง ค่ำวันนั้น ระหว่างเสด็จพระราชดำเนินกลับพระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ ขบวนรถยนต์พระที่นั่งได้หยุดลงอย่างกะทันหันโดยไม่ทราบสาเหตุเป็นเวลาหลายนาที ถามไถ่ได้ความภายหลังว่า ยังมีทากหลงเหลือ กัดติดพระวรกายอยู่อีก เมื่อรู้สึกพระองค์ จึงได้ทรงหยุดรถยนต์พระที่นั่งและรับสั่งให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ช่วยจับทากออกจากพระวรกาย ทรงตรัสมาทางวิทยุว่า “หยุดขบวนสักประเดี๋ยว ขอหยุดจับตัวยึกยือก่อน” ปรากฏว่ามีอยู่ตัวหนึ่งติดพระศอ ทรงปลิดออก ทรงปล่อยตัวทากลงข้างทาง ทรงตรัสแบบอารมณ์ขันว่า “โถ..เขามาขอทาน ขอเลือดไปถึงสองซีซี ให้เขาไปเถอะ”

ฟังกี่ครั้งก็อบอุ่นหัวใจ...๕ เรื่องเล่าแสนประทับใจของ ในหลวง รัชกาลที่ ๙

พับเพียบ

รองศาสตราจารย์ ดร.สุธี อักษรกิตติ์ ผู้สนองพระราชดำริ ในโครงการระบบสื่อสารสายอากาศ และอิเล็กทรอนิกส์ เล่าว่า

ในครั้งแรก ผมทำงานตามพระราชดำริ โดยไม่ทราบว่าเป็นงานของพระองค์ จนกระทั่งวันหนึ่งมีคนบอกว่าให้เข้าไปในวังด้วยกัน และให้นำระบบสายอากาศชนิดใหม่ขึ้นไปติดตั้ง ก็ไม่ได้คิดว่าพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชจะเสด็จฯ มา แต่ว่าแปลกใจทำไมอยู่ดีๆ เจ้าหน้าที่ที่กำลังติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ อยู่บนดาดฟ้าของพระตำหนักถึงปีนลงมา ทั้งๆ ที่งานยังไม่เสร็จ แท้ที่จริงพระองค์ท่านเสด็จฯ มายืนอยู่ข้างหลัง ผมเหลียวหลังไปมองนิดหนึ่ง ครั้นพอเห็นพระองค์ท่านก็ตกใจ เป็นอาการวูบขึ้นมาทันที นึกอยู่ในใจว่าใช่แล้ว ใช่แน่ๆ เพราะคิดว่าเหมือนในรูป ผมก็รีบทำความเคารพ แล้วก็ทำอะไรไม่ถูก

สิ่งที่ผมจำได้คือเราต้องอยู่ต่ำกว่า จึงรีบคุกเข่าให้ต่ำลงมาเป็นเหมือนชันเข่า เพราะว่าตอนนั้นพระองค์ท่านประทับยืนอยู่ ถ้านั่งพับเพียบเลยก็จะต่ำเกินไป เพราะว่าผมต้องพูดอธิบายด้วย ปรากฏว่าพระองค์ท่านก็คุกเข่าลงไปด้วย ผมก็เลยนั่งพับเพียบให้ต่ำลงไปอีก พระองค์ท่านก็ทรงประทับพับเพียบเหมือนกัน เลยกลายเป็นว่าวันนั้นนั่งพับเพียบสนทนากัน ๒-๓ ชั่วโมง บนดาดฟ้าพระตำหนักในเวลาช่วงบ่ายที่ร้อนเปรี้ยง

ฟังกี่ครั้งก็อบอุ่นหัวใจ...๕ เรื่องเล่าแสนประทับใจของ ในหลวง รัชกาลที่ ๙

เรานึกว่าเราชกเอง

หลังจบการแข่งขันโอลิมปิกเกมส์ ๑๙๙๖ ที่เมืองแอตแลนต้า สหรัฐอเมริกา นายสมรักษ์ คำสิงห์ นักมวยสากลสมัครเล่น และเป็นนักกีฬาไทยคนแรกที่ได้รับเหรียญทองจากโอลิมปิกเกมส์  ได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เพื่อทูลเกล้าฯ ถวายเหรียญทอง ครานั้นพระองค์ตรัสกับสมรักษ์ว่า

“เราดูสมรักษ์ชกวันนั้น เห็นสมรักษ์ถือรูปเราขึ้นเวที ชูมือ เรานึกว่าเราเป็นคนชกเอง พอสมรักษ์ชกชนะ เราก็เผลอตัวกระโดดโลดเต้นดีใจ จนข้าราชการผู้ใหญ่หัวเราะเรา เราก็เลยรู้สึกอาย เราก็เลยนั่งลง”

นายสมรักษ์ ได้เล่าถึงวินาทีประทับใจ ว่าก่อนเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก มีการซักซ้อมการใช้คำราชาศัพท์นานถึง 2 ชั่วโมง แต่เมื่อถึงเวลาเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท กลับรู้สึกอบอุ่น พระองค์ท่านมีรับสั่งแบบเป็นกันเอง  เหมือนพ่อคุยกับลูก สร้างขวัญกำลังใจเป็นอย่างดี และรับสั่งอีกว่า  ให้สมรักษ์ เป็นแบบอย่างที่ดีแก่นักกีฬา เยาวชน ประชาชน ทั่วไป  

และเหรียญทองที่สมรักษ์ทูลเกล้าฯ ถวายนั้น เป็นเหรียญเดียวที่ทรงเก็บไว้ ต่อจากนั้นมา เมื่อนักกีฬาคนไหนจะทูลเกล้าฯ ถวายเหรียญ พระองค์จะพระราชทานคืน โดยคล้องคอให้กับนักกีฬาทุกคน

ขอบคุณ happytoveryhappy.blogspot.com  , panyayan.tnews

ฟังกี่ครั้งก็อบอุ่นหัวใจ...๕ เรื่องเล่าแสนประทับใจของ ในหลวง รัชกาลที่ ๙


ฟังกี่ครั้งก็อบอุ่นหัวใจ...๕ เรื่องเล่าแสนประทับใจของ ในหลวง รัชกาลที่ ๙

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์