คดีนางทาสละออ กับพระองค์เจ้าบุตรี

ข้อความเกี่ยวกับนางลออนี้ นางแอนนาบันทึกไว้ว่า ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2406 เธอตื่นเช้าก็เตรียมตัวไปสอนหนังสือในพระราชวัง แต่เมื่อไปถึงปรากฎว่าเหล่าเจ้าฟ้าหญิงและชายทั้งหลายมิได้เสด็จมาเรียนตามที่เคย เพราะต้องไปประกอบพิธีทางศาสนาในพระอาราม พนักงานบอกกับเธอว่าพระเจ้าอยู่หัวทรงปรารถนาให้นางแอนนาไปร่วมพิธีนี้ด้วย เธอจึงรีบเดินตามไปอย่างรีบเร่ง
หนทางที่เธอเดินผ่านไปนั้นเป็นซอยซอกตรอกเล็กคดเคี้ยววนเวียน นางแอนนาเลยหลงทางหาทิศไม่ถูก เดินเซ่อซ่ากลับหน้ากลับหลังอยู่พักหนึ่ง ทางก็มาจบตรงประตูบานใหญ่ของตึกเก่า ๆ หลังหนึ่ง มีกำแพงหนาและสูงบังอยู่รอบ

นางแอนนาต้องการความช่วยเหลือ เพราะไม่ทราบว่าตัวหลงทางมาถึงที่ไหน จึงพยายามดันบานประตูนั้นสุดแรงเมื่อประตูเปิดออก เธอจึงชะโงกหน้ามองเข้าไปในบริเวณสวน ก็เห็นผู้หญิงผิวคล้ำคนหนึ่ง นุ่งผ้าซิ่นที่ขาดวิ่น เก่า และสกปรก เปลือยอกนมใหญ่ยานสองข้าง ยืนเท้าเอวจ้องเธอตาเขม็ง ข้าตัวนั้นมีเด็กผู้ชายอายุประมาณสี่ขวบ เกาะเอวนางอยู่ บางทีก็ดึงถันนางมาดูดน้ำนมด้วยความหิวกระหาย
นางแอนนาเดินเข้าไปใกล้ จึงเห็นว่าหญิงคนนั้นถูกล่ามโซ่ไว้กับเสาปักกลางดินเหมือนสัตว์ เช่นวัวควายที่เขาขึงล่ามไว้ ไม่มีแม้แต่กระบังแดดกันฝน ปล่อยให้อยู่กลางแจ้งอย่างนั้นมานานกี่เดือนกี่ปี นางแอนนาก็ไม่ทราบ
เมื่อเธอกางร่มเดินเข้าไปใกล้ หญิงนั้นก็ร้องว่า
"ไปเสีย"
นางแอนนาจึงถามอย่างอ่อนโยนว่า
"ทำไมเธอจึงถูกล่ามโซ่อย่างนี้ ทำไมเธอไม่ยอมบอกฉัน"
หญิงนั้นก็ร้องแต่ว่า "ไป" อย่างเดียว แล้วดึงหัวนมออกจากปากลูกอย่างรำคาญเต็มที อ้ายลูกก็แผดเสียงร้องไห้จ้า นางก็ต้องเอามันมากอดและปลอบให้นิ่งเสีย นางแอนนาจึงถามว่าลูกอายุเท่าไร
"สี่ขวบ" นางตอบห้วน ๆ
"แล้วชื่ออะไรล่ะ" นางแอนนาถามต่อ
"มันชื่อทุกข์"
"ทำไมตั้งชื่อลูกอย่างนั้นล่ะ"
"ก็มันเรื่องอะไรของเธอด้วยเล่า" นางทาสพูดห้วนแบบยังไม่หมดฤทธิ์ แต่เมื่อเห็นว่าผู้หญิงฝรั่งคนนี้มีจิตเมตตากรุณาเธอก็เปลี่ยนใจ เล่าให้ฟังว่า เธอนั้นถูกพระองค์เจ้าหญิงบุตรีทำโทษ
พระองค์เจ้าหญิงบุตรีนี้ เป็นพระราชธิดาของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่สาม และเจ้าจอมมารดาอึ่งจึงมีฐานะเป็นหลานของสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อสมเด็จพระจอมเกล้าฯขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระเจ้าแผ่นดินไทย ก็ได้ทรงรับพระองค์เจ้าหญิงบุตรีนี้มาเป็นมเหสีองค์หนึ่งด้วย
นางทาสเล่าว่าตนเองนั้นเป็นเชื้อแขกชื่อลออ นับถือศาสนาอิสลาม พ่อแม่นางก็เป็นทาสของเจ้าจอมมารดาอึ่ง ตัวนางลออเองจึงเกิดมาเป็นทาสในเรือนเบี้ย ไม่เคยได้ทราบว่าชีวิตอิสระนั้นเป็นอย่างไร
เมื่อเติบโตขึ้นก็ได้รับหน้าที่เป็นต้นห้องของพระองค์เจ้าหญิงบุตรี เพราะมีความกตัญญูซื่อสัตย์ จึงได้รับความไว้พระทัย เวลาพระองค์เจ้าหญิงบุตรีจะต้องซื้อสิ่งของอะไร นางลออจะมีหน้าที่เป็นผู้ถือเงินให้เสมอ

วันหนึ่งพระองค์เจ้าหญิงบุตรีมีพระประสงค์จะซื้อผ้าแพรจากแขกชื่อนายโคดา ซึ่งเป็นพ่อค้ามั่งคั่งอยู่ในบางกอก นางนาสลออก็ได้รับมอบหมายให้นำเงินมาต่อราคา ขณะนั้นเธอยังเป็นเด็กสาววัยรุ่น หน้าตาและรูปร่างสวยงาม จึงเป็นที่ต้องตาต้องใจของนายโคดา พ่อค้าแขกอย่างมาก
หลังจากนั้นก็ได้มีโอกาสกลับไปพบกันอีกหลายหน บางทีก็ไปซื้อเทียนไข บางครั้งก็ไปซื้อสินค้าอื่น ๆ เธอสังเกตว่านายโคดามองเธอด้วยความเมตตาอยู่เสมอ พยายามยัดเยียดเงินทองให้หลายบาท แต่พวกหญิงอื่น ๆ ที่ติดตามไปด้วย มักจะแย่งเอาไปแบ่งกันเองเสียหมด
เวลานางลออไปซื้อของจากนายโคดานั้น เธอต้องพายเรือไปตามลำน้ำเจ้าพระยา ได้รับแรงลม แสงแดด และอากาศบริสุทธิ์ ทำให้เธอรู้สึกเบิกบานใจเป็นพิเศษที่ไม่ต้องคุดคู้อุดอู้อยู่ในวังอย่างเดียว
ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง นายโคดาพ่อค้าแขกส่งสาวใช้เข้ามาแอบกระซิบกับลออว่า เขายินดีจะจ่ายเงินให้เธอพ้นจากการเป็นทาส ถึงแม้จะต้องเสียเงินทองถึงสองเท่าราคาธรรมดาก็เต็มใจ
เมื่อสาวใช้คนนั้นแอบเอาเงินให้ ลออก็ดีใจยิ่งนัก เข้าไปกราบเจ้าจอมมารดาอึ่ง ขออนุญาตผ่อนตัวเองออกจากเป็นทาสเพื่อได้รับอิสรภาพตามความปรารถนา แต่เจ้าจอมมารดาอึ่งไม่ยอมตกลง ท่านพูดว่า
"เจ้าเกิดเป็นทาสของข้า ข้าไม่ยอมให้เจ้าไถ่ตัวด้วยเงินหรอก"
"หม่อมฉันยินดีจ่ายเงินสองเท่าตัว ขอให้ปล่อยไปเท่านั้น" ลอออ้อนวอน
"ถ้าเจ้าอยากมีผัว ข้าก็จะหาผัวดี ๆ ให้ เจ้าจะได้มีลูกให้ข้าใช้ เช่นเดียวกับที่แม่ของเจ้าเคยทำให้ข้ามาแล้ว แต่ข้าจะไม่มีวันปล่อยเจ้าไปหรอก"
ถึงแม้ลออจะกราบไหว้อ้อนวอนร้องห่มร้องไห้เท่าไร เจ้าจอมมารดาอึ่งก็ยังไม่ยอมให้เธอได้รับอิสรภาพอยู่ดี
ลออจึงไม่กล้าร้องขออีก พยายามก้มหน้าก้มตารับใช้ต่อไปด้วยความเจียมเนื้อเจียมตัว
จนเวลาผ่านมาอีกสองปี เจ้าจอมมารดาอึ่งจึงจัดการให้เธอแต่งงานกับนายทิม ซึ่งเป็นคนรับใช้อยู่ในวังเดียวกัน ถึงวันแต่งงาน เธอก็ได้รับอนุญาตให้ไปหาแม่ของนายทิม เพื่อแสดงความเคารพต่อแม่ผัวตามขนบธรรมเนียม โดยมีสาวใช้อีกสองคนติดตามคุมตัวมาด้วย
เมื่อทั้งสามเดินมาถึงเรือนแพของมารดานายทิม ซึ่งปลูกลอยไว้ในแม่น้ำเจ้าพระยา ลออก็ขอพูดกับแม่ผัวเป็นส่วนตัว เธอสารภาพต่อหญิงชราผู้นั้นว่า เธอไม่ได้รักนายทิม เพราะจิตใจนั้นผูกพันอยู่กับนายโคดาพ่อค้าแขกมานานแล้ว และมีความปรารถนาอย่างยิ่งที่จะรอดพ้นจากสภาพนางทาส
ว่าแล้วนางก็เอาเงินทั้งหมดที่ติดตัวมา วางใส่มือแม่ผัวในอนาคต แล้วก็กระโจนจากแพลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยา ว่ายน้ำดำน้ำหลบหนี เธอเป็นคนว่ายน้ำเร็วและแข็ง จึงไม่มีผู้ใดตามจับตัวได้สามารถสู้กระแสน้ำเชี่ยว ว่ายไปขึ้นอีกฝั่งหนึ่งได้

คืนนั้นเธอนอนหลับคนเดียวกลางทุ่งนา ตื่นเช้าขึ้นรู้สึกหิวโหยอ่อนกำลัง จึงพยายามออกเดินด้นดั้นไปจนถึงบ้านนายโคดา เล่าเหตุการณ์ทุกอย่างให้พ่อค้าแขกที่เธอรักนั้นฟัง เขาก็แสดงความยินดีที่จะอุปการะเธอหลังจากพักผ่อนอยู่ที่บ้านนั้นไม่นาน นายโคดาก็จัดพิธีแต่งงานตามลัทธิอิสลาม มีพระแขกที่เรีกกันว่า มูลล่าห์นั้นประกอบพิธีให้เป็นผัวเมียกัน

นางลออจะเป็นเมียคนที่เท่าไรของนายโคดานั้น เราไม่ทราบแน่ เพราะชายอิสลามนั้นสามารถมีเมียได้ถึงสี่คน ผู้เขียนคิดว่านางลออคงจะเป็นเมียคนหลัง ๆ มากกว่า เพราะขณะนั้นนายโคดาก็มีฐานะเป็นพ่อค้ามั่งคั่งแล้ว คงมีอายุไม่น้อย และน่าจะมีครอบครัวมาก่อนแล้วเป็นแน่
แต่นางลออก็ไม่เคยรู้สึกรังเกียจว่าตนเป็นเมียคนที่เท่าไร เพียงแต่มีความสุขอย่างสุดที่จะพรรณนา สภาพชีวิตแต่งงานทุก ๆ วันนั้นเปรียบเหมือนได้อยู่บนสวรรค์ ไม่ต้องเป็นทาสหรือขี้ข้าใครอีกต่อไป ครั้งต่อมาไม่กี่เดือนเธอก็ตั้งครรภ์

วันหนึ่งขณะที่เธอกำลังนั่งตากลมเย็น ๆ อยู่บนบันไดหน้าบ้าน ก็มีผู้ชายบุกรุกเข้ามาหลายคน ตรงเข้าไปปลุกปล้ำจับเธอมัดแขนมัดขา และลากกลับไปที่วังของพระองค์เจ้าหญิงบุตรี เมื่อไปถึงก็ถูกล่ามโซ่ไว้กลางแจ้ง ให้ทนทุกข์ทรมานตากแดดตากฝน

พระองค์เจ้าหญิงบุตรีทรงรับสั่งกำชับไว้ว่า ให้ล่ามโซ่เยี่ยงสัตว์ไว้เช่นนี้ จนกว่านางลออจะสัญญาต่อพระองค์ว่าจะไม่พยายามหลบหนีไปอีก ตัวนางลออนั้นก็ไม่ยอมให้สัญญาว่าจะไม่หนี จึงถูกล่ามไว้เช่นนั้น ในสภาพของวัวควายที่เขาผูกไว้นอกคอกจนเธอท้องแก่ ก็ต้องคลอดลูกออกมากลางดินกลางทรายเช่นนั้น ทุกวันจะมีนางทาสเอาอาหารมาโยนให้กิน ส่วนน้ำนั้นก็พอจะคลานไปดื่มริมคูไหว นางลออถูกทรมานให้อยู่ในภาวะเช่นนี้เป็นเวลานานถึงสี่ปี นางแอนนาจึงมาพบเข้าโดยบังเอิญ
ชีวิตของสามัญชนในสมัยโบราณนั้น บางทีก็ถูกกดดันให้มีสภาพต่ำกว่าสัตว์เดรัจฉาน แม้แต่วัวควายเขาก็ยังผูกล่ามไว้ในคอก นางลออนั้นโดนใส่โซ่ล่ามไว้กลางแดด ไม่มีแม้แต่หลังคาจากจะบังหัว เวลาถูกแดดเผาก็ร้อนระอุแทบจะบ้าคลั่ง เวลาฝนตกฟ้าร้องก็ต้องนอนตัวเปียกหนาวสั่นอยู่หลายวัน เธอต้องปัสสาวะอุจจาระ และกินอาหารร่วมกับลูกชายอยู่ตรงนั้นเอง ผู้คนที่เดินผ่านไปมาก็ไม่มีใครกล้าช่วยเหลือ เพราะเกรงว่าจะทำให้พระองค์เจ้าหญิงบุตรีพิโรธ
เมื่อนางแอนนาได้ทราบเรื่องราวละเอียดแล้ว เธอจึงรีบไปหานายโคดาพ่อค้าแขก บอกเขาว่านางลออเมียเก่านั้นยังมีชีวิตอยู่ ทั้งมีลูกชายอายุสี่ขวบ แต่เคราะห์ร้ายยังไม่หมดสิ้นถูกล่ามโซ่เหมือนสัตว์อยู่ในวังของพระองค์เจ้าหญิงบุตรี มเหสีสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
นายโคดาได้ฟังเช่นนั้นก็ตกใจ รีบเรียกมูลล่าห์พระแขกมาร่างบันทึกฉบับหนึ่ง เพื่อให้นางแอนนานำไปถวายแก่พระเจ้าอยู่หัวในวันรุ่งขึ้น นายโคดาได้ฟังเช่นนั้นก็ตกใจ รีบเรียกมูลล่าห์พระแขกมาร่างบันทึกฉบับหนึ่ง เพื่อให้นางแอนนานำไปถวายแก่พระเจ้าอยู่หัวในวันรุ่งขึ้น
นางแอนนาเล่าว่า พอรุ่งเช้าเธอก็รีบเข้าไปเฝ้าสมเด็จพระจอมเกล้าฯ และได้นำหนังสืออังกฤษชื่อ Curiosities of Science ไปถวายพร้อมกับคำร้องของนายโคดาและพระมูลล่าห์ด้วยสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพอพระทัยกับหนังสือวิทยาศาสตร์ของนางแอนนามาก ทรงอ่านคำร้องของนายโคดาพ่อค้าแขก แล้วตรัสว่า
"Inquiry shall be made by me into this case"
วันรุ่งขึ้นนางแอนนาก็ได้รับพระลายลักษณ์อักษรจากพระเจ้ากรุงสยาม มีใจความเป็นภาษาอังกฤษว่า
"Lady Leonowens,
I have liberty to do and inquiry for the matter complained, to hear from The Princess P'hra Ong Brittry, the daughter of the Chow Chom Manda Ung, who is now absent from hence. The Princess said that she knows nothing about the wife of Naikodah, but that certain children were sent her from her grandfather maternal, that they are offspring of his maid-servant, and that these children shall be in her employment. So I ought to see the Chow Chom Manda Ung, and inquire from herself.
S.P.P. Maha Mongkut R.X.

แล้วพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ก็ทรงช่วยเหลือ โดยรับสั่งให้กุลสตรีชาววังอาวุโสสูงผู้หนึ่ง เรียกกันว่าคุณท้าวอัป เป็นธุระดูแลให้นางลออได้รับการปลดปล่อยคุณท้าวอัปนี้นางแอนนาเคารพนับถือมาก และมักจะเขียนชมท่านอยู่เสมอ ท่านมีตำแหน่งเป็นผู้พิพากษาสูงสุดในเขตพระราชวังใน คือส่วนที่พวกสนมและนางห้ามพำนักอยู่ เป็นหญิงไทยโบราณที่เคร่งขรึม พูดน้อย และรอบรู้คงแก่เรียน จึงใส่แว่นตาเสียด้วย
ท่านดำรงชีวิตอยู่ภายในวังอย่างง่าย ๆ มีคูหาเล็กนิดเดียวเป็นที่พำนักของท่าน และมีคนรับใช้เพียงสามคน ท่านเคยมีข้าราชบริพารหลายสิบหลายร้อยคนเมื่อสมัยยังสาว แต่พอแก่ตัวลง ความใจบุญทำให้ท่านปล่อยทาสชายหญิงทั้งหลายให้ได้เป็นอิสระกันหมดสิ้น เหลือไว้แต่คนสนิทรับใช้เพียงสามนางเท่านั้น

เมื่อนางแอนนามาหา ท้าวอัปก็บอกว่า ตามกฎหมายแล้วหากทาสคนใดมีเงินมาขอไถ่ค่าตัว เจ้านายนั้นจะต้องยอมปลดปล่อย จะบังคับเก็บตัวเอาไว้นั้นไม่มีสิทธิ์เลย ท่านจึงสั่งให้พนักงานผู้คุมไปเชิญเจ้าจอมมารดาอึ่ง และพระองค์เจ้าหญิงบุตรีมาพบ ทั้งสองรออยู่ที่ศาลากลางวังเป็นเวลานานถึงสองชั่วโมง จึงเห็นสตรีกลุ่มใหญ่เดินเป็นขบวนติดตามกันมาหลายสิบคน เจ้าจอมมารดาอึ่ง และพระองค์เจ้าหญิงบุตรีนำหน้า มีข้าราชบริพารถือพานใส่หมากพลู คนโฑสำหรับใส่น้ำ รวมทั้งหมอนและเบาะสี่บ่วงสำหรับรองนั่ง
เมื่อทุกคนนั่งลงบนศาลาแล้ว ท้าวอัปก็ถามว่า ตอนนี้นางลอออยู่ที่ไหน ทั้งเจ้าจอมมารดาและพระองค์เจ้าหญิงบุตรีก็นั่งจ้องหน้าท้าวอัปเฉย ๆ ไม่ยอมพูดให้คำตอบประการใด แสดงอำนาจวางท่าท้าทายอย่างไม่เคารพหรือเกรงใจ
คุณท้าวอัปท่านจึงหยิบพระลายลักษณ์จากสมเด็จพระจอมเกล้าฯมาอ่านดัง ๆ ให้ทุกคนได้ยินทั่วกัน เมื่อท่านอ่านเสร็จแล้ว ทั้งเจ้าจอมมารดาอึ่งและพระองค์เจ้าหญิงบุตรีก็ก้มตัวลงกราบถวายบังคมแก่พระสาส์นของพระเจ้าแผ่นดิน แล้วเจ้าจอมมารดาอึ่งก็เอ่ยขึ้นว่า
"ถ้านางทาสทุกคนที่ดิฉันมีอยู่นี้ เอาเงินมาไถ่ค่าตัวกันหมดแล้ว จะให้ดิฉันทำอย่างไร"
"ท่านก็ต้องปลดปล่อยให้เป็นอิสระหมดทุกคน ตามกฎหมายบ่งไว้" ท้าวอัปตอบ
อ้อ แล้วดิฉันก็ต้องกลายเป็นคนใช้เสียเองหรือคะ"
"ถ้าจำเป็น ก็ต้องทำเช่นนั้น" ว่าแล้วคุณท้าวอัปก็ประกาศว่า ต่อจากนี้ไปนางลออจะต้อได้รับการปลดปล่อยและเป็นสมบัติของคุณครูใหญ่ คือนางแอนนา
นางแอนนาดีใจนัก กล่าวขอบพระคุณแก่ท้าวอัป และถอนสายบัวแสดงความเคารพต่อเจ้าจอมมารดาอึ่งและพระองค์เจ้าหญิงบุตรี แต่ทั้งสองก็เมินหน้าเฉยเสียด้วยความแสนงอน เธอรีบกลับไปเอาเงินที่บ้าน แล้ววันรุ่งขึ้นก็เดินไปถึงส่วนของวังในที่ลออถูกล่ามโซ่ไว้
ไปถึงก็พบเจ้าจอมมารดาอึ่งและพระองค์หญิงบุตรีอยู่ท่ามกลางสาวใช้มากมายหลายคน นางแอนนาจึงนำฎีกาปลอดปล่อยลออไปให้ดู และค่อย ๆ วางเงินค่าไถ่ลงตรงหน้ากุลสตรีสูงศักดิ์ทั้งสอง
เจ้าจอมมารดาอึ่งคงจะยังเคืองแม่ฝรั่งตัวยุ่งนี้อยู่นัก จึงเอามือปัดเงินนั้นตกลงมาเกลื่อนกลาดที่พื้นดิน แล้วก็สั่งให้ผู้คุมตัดสายโซ่นั้นเสีย
แต่เมื่อโซ่ตรวนนั้นถูกตัดขาดแล้ว นางทาสลออก็ยังไม่ยอมลุก กลับนอนหมอบกราบใบหน้าติดกับดินอยู่ตามเคย นางแอนนาเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมจึงทำเช่นนั้น จนกระทั่งมีหญิงคนหนึ่งมากระซิบว่า ยังไม่มีใครไถ่ตัวลูกชายของเธอ เพราะฉะนั้นถึงแม้แม่จะได้เป็นอิสระแล้ว เธอก็ยังไม่ยอมพลัดพรากจากตัวลูกน้อย
นางแอนนาเข้าใจ ก็รีบไปเอาเงินเพิ่มเติมจากบ้านของเธอแล้วเดินกลับมากับคุณท้าวอัปอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อมาถึงก็เห็นกุลสตรีสาวชาววังทั้งหลายนั่งส่องกระจกกินหมากกันอย่างแสนสบาย นางลออก็ยังหมอบกราบหน้าติดดินอยู่ตามเดิม คุณท้าวอัปจึงอ่านกฎหมายให้ทุกคนฟังว่า ลูกที่เกิดแก่นางทาสนั้น ไถ่ตัวได้ในราคาหนึ่งบาทเมื่อเกิด และหลังจากนั้นต้องเพิ่มเงินอีกปีละบาท นางแอนนาก็เอาเงินสี่บาทมามอบให้อีก แต่คราวนี้ไม่มีใครปัดเงินของเธอทิ้ง
คราวนี้นางลออจึงลุกขึ้น อุ้มลูกชายเดินกะโผลกกะเผลกตามหลังนางแอนนาและคุณท้าวอัป หัวเราะบ้าง ร้องไห้บ้างปนกกันไป

นางแอนนาได้ยินเธอพูดพล่ามกับลูกชายว่า คราวนี้ทุกข์ของแม่จะได้วิ่งเล่นในสวนดอกไม้ ไล่จับผีเสื้อ และแม่จะเฝ้าดูเจ้าทั้งวัน และนางแอนนาเล่าว่า เหล่าชาวบ้านชายหญิงที่มามุงดูล้อมรอบอยู่นั้นต่างก็พูดว่า
"พุทโธ่ ดีใจนักหนา ดีใจนักหนา"
นางแอนนาเอาตัวลออกลับไปมอบให้นายโคดาสามีของเธอ พ่อค้าแขกอิสลามนั้นดีอกดีใจที่ได้เมียน้อยและลูกชายกลับมาเป็นสมบัติ จึงคืนเงินให้แก่นางแอนนาทุกบาททุกสตางค์
เราเป็นคนไทยสมัยใหม่ อ่านเรื่องนางทาสลออนี้แล้วก็รู้สึกละอายใจในระบบสังคมโบราณของเรา ที่กดขี่ชนชาติเดียวกันให้มีสภาพต่ำลำบากยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน
ทาสในสมัยโบราณนั้นมีชีวิตไม่ผิดกับวัวควายที่เจ้านายเลี้ยงไว้ มีหน้าที่รับใช้อย่างเดียว จะคิดหรือปรารถนาอะไรนั้นไม่สำคัญ ถึงเวลาแตกเนื้อสาว นมขึ้น มีประจำเดือน นายก็หามนุษย์ตัวผู้มาเป็นผัว เพื่อจะได้คลอดลูกมาเป็นทาสให้ต่อไปอีกหลายคน
เวลาประพฤติผิดใจ ก็เฆี่ยนตีล่ามโซ่เหมือนหมูหมา มิได้เคยคำนึงว่า นี่ก็เป็นมนุษย์ที่มีความคิดจิตใจผู้หนึ่ง
เราถือตนว่าเป็นพุทธศาสนิกชน แต่แทนที่จะใช้ความเมตตากรุณาเป็นพื้นฐานแห่งสังคม กลับนิยมความกดขี่ข่มเหงซึ่งกันและกัน เป็นระบบการประพฤติที่ห่างไกลจากหลักพระธรรมมากนัก
ในเวลาเดียวกัน เราก็ต้องยอมรับความดีและชมเชยน้ำใจอันงามของนางแอนนา ผู้หญิงฝรั่งในกรุงสยาม เพราะเขาอดรนทนไม่ได้ที่จะเห็นมนุษย์ถูกล่ามโซ่ไว้กลางแดดกลางฝนเป็นเวลานานถึงสี่ปี
การกระทำเช่นนี้แหละที่ทำให้ฝรั่งเขาถือว่าเราป่าเถื่อน
แต่ชาติไทยเรายังโชคดี ที่มีประมุขของชาติเช่นสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว คอยประทานความยุติธรรมให้แก่ประชาชนพลเมือง แก้ไขระบบโบราณที่ผิด และนำพสกนิกรไปสู่แสงสว่างได้ในที่สุด
พระองค์เจ้าหญิงบุตรีนี้ เราทราบจากหนังสือประวัติศาสตร์ว่า เป็นพระธิดาของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 3 ทรงประสูติเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2370 พระมารดาคือเจ้าจอมมารดาอึ่ง ทรงมีชีวิตยืนนานมาถึงสมัยรัชกาลที่ 5 สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสถาปนาขึ้นเป็นพระไอยิกาเธอ กรมหลวงวงเสริฐสุดา สิ้นพระชนม์ใน พ.ศ. 2450 มีพระชนมายุนานถึง 80 พรรษา

คดีนางทาสละออ กับพระองค์เจ้าบุตรี

นางแอนนา


คดีนางทาสละออ กับพระองค์เจ้าบุตรี

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์