คดีสุดดำมืด! นายหญิงวิปลาส ผู้ใช้ทาสบำบัดความใคร่


คดีสุดดำมืด! นายหญิงวิปลาส ผู้ใช้ทาสบำบัดความใคร่

คดีดังในต้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ถูกบันทึกลงในราชกิจจานุเบกษา และมีบันทึกไว้ว่า "พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งปกติไม่ค่อยเต็มพระทัยในการลงพระปรมาภิไธยในคำสั่งประหารชีวิตนัก มิได้ทรงรีรอเลยสำหรับคดีรายนี้" นั่นก็คือ คดี "อีอยู่ ผู้อำมหิต ผิดมนุษย์"

อีอยู่ ชื่อนี้เป็นใคร ไม่ปรากฏว่านางเป็นคนมาจากที่ใด แต่ปรากฎว่า เคยรับราชการฝ่ายใน สังกัดพระนางเจ้าโสมนัส ในรัชกาลที่ 4 หน้าตารูปร่าง งดงามพอควร

อีอยู่ ได้พบรักกับ หลวงแผลงสะท้าน ขุนนางวังหน้า จึงได้ปลงใจแต่งงานกัน และอยู่กินเรื่อยมา ฝ่ายผัวนั้น ก็เจริญเติบโตในหน้าที่การงาน ได้เป็น พระบันลือสิงหนาท ส่วนอีอยู่นั้น จากสาวแรกรุ่นสดๆ ก็เริ่มเป็นสาวใหญ่ แก่ตัวไปตามสภาพ หากแต่ตัณหาราคะของนางนั้น ไม่ได้ลดลงตามวัยเลย

มีข้อมูลที่น่าตกใจปรากฏว่า อีอยู่ นั้น ก่อนจะรับราชการฝ่ายใน เคยมีผัวเป็นหม่อมราชวงศ์อยู่แล้ว แต่อยู่ได้ไม่เท่าไรก็ต้องเลิกรา เหตุว่าอีอยู่นั้นมีจริตผิดมนุษย์ แต่จริตที่ผิดมนุษย์นั้น ก็ซุกซ่อนไว้ไม่ให้พระบันลือรู้ได้เลย

อีอยู่จึงเปลี่ยนเป็นอำแดงอยู่ หลังจากที่ได้สมรสกับ พระบันลือ

เหตุการณ์ครั้งนี้เริ่มต้นเมื่อ ปี 2422

พระบันลือนั้นเป็นขุนนางใหญ่ระดับหนึ่ง จึงมีข้าทาสไว้ในบ้าน และหนึ่งในนั้น เป็นทาสหนุ่มหล่อ หน้าตาดี หุ่นดี จนเป็นที่หมายตาของสาวเล็กสาวใหญ่ ชื่อ "ไอ้ไฮ้" รวมถึง นางอยู่ ที่เป็นนายหญิงในเรือนแห่งนี้ด้วยเช่นกัน ที่หมายปอง ไอ้ไฮ้ อย่างสุดหัวใจ

เมื่อถึงวันที่ พระบันลือออกไปทำงาน นางอยู่ จึงได้เรียก ไอ้ไฮ้ มาที่ห้องนอน โดยบอกว่าให้มาบีบนวดแก้เมื่อย ไอ้ไฮ้ มิอาจขัดข้องเพราะเป็นเพียงทาส เมื่อทั้งสองอยู่ในห้องด้วยกันสองต่อสอง นางอยู่ จึงยั่วยวน ไอ้ไฮ้ ด้วยการถกชายผ้าออกระหว่างนวด ทำให้ ไอ้ไฮ้ ทน การยั่วยวนของ นางอยู่ไม่ไหว จึงได้ร่วมรักกันจนกระทั่งเสร็จกิจ

หลังจากนั้น นางอยู่ กับ ไอ้ไฮ้ ก็ได้ลักลอบได้เสียกันเป็นประจำ ไอ้ไฮ้ ก็ต้องยอมทำตามทุกอย่างเพราะ จะได้รับสิทธิพิเศษต่างๆนานาที่ทาสอื่นไม่มีวันจะได้รับในชั่วชีวิต

แต่แล้วเมื่อเวลาผ่านไป 2 ปี เข้าปี พ.ศ.2424

ระหว่างที่ไอ้ไฮ้กับนางอยู่ เริงรื่นอยู่ในห้องนอนสภาพที่ไร้เสื้อผ้า แต่แล้ว สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อพระบันลือ กลับบ้านมาอย่างกะทันหัน และจะเข้าห้องนอน หากแต่ห้องนอนนั้นไม่สามารถเปิดได้ เนื่องจากถูกล็อคขัดด้วยไม้จากภายใน

พระบันลือเห็นดังนั้น ก็เคาะประตูเรียก เสียงเคาะประตูดังลั่นห้อง นางอยู่กับไอ้ไฮ้ ตกใจสุดขีด รีบกอดไอ้ไฮ้ตัวกลม เกรงภัยจากผัว ที่กำลังอยู่หน้าประตูห้องตน

พระบันลือเห็นว่า เคาะนานแล้วนางอยู่ก็ไม่เปิด จึงแหวกฝาเรือนไป ก็พบภาพอันน่าสมเพชยิ่ง นางอยู่เมียรัก กอดกันกลมกับไอ้ทาสหนุ่ม 

พระบันลือจึงให้ข้าทาสพังประตูเข้าไป แล้วใช้ร่มฟาดกบาลนางอยู่อย่างแรง ด่าว่า “อีเมียไม่รักดี” เสียงพระบันลือดุดัน พร้อมเอาร่มตี นางอยู่ ด้วยบันดาลโทสะ

ส่วน ไอ้ไฮ้ โดนลากไปนอนคว่ำกลางดิน ขึงพืดมือเท้า แล้วรับโทษโบยห้าสิบที 

“มึงบังอาจมาก เป็นชู้กับเมียกู” 
“ไอ้พวกนี้ ลาก ไอ้ไฮ้ ไปโบย ห้าสิบที” เสียงพระบันลือตะโกนบอกข้าทาสชาย



คดีสุดดำมืด! นายหญิงวิปลาส ผู้ใช้ทาสบำบัดความใคร่

ส่วนไอ้ไฮ้นั้น ถึงจะเป็นชู้กับนางอยู่ แต่ไอ้ไฮ้ก็มีคนรักซึ่งเป็นทาสด้วยกัน เธอชื่อว่า "อีเกลี้ยง" โดยเรื่องนี้ นางอยู่ ก็รู้เรื่องเป็นอย่างดี ว่าทาสสองคนนี้ รักกันฉันผัวเมีย

หลักจากเวลาผ่านมาหลายวัน ขณะที่ นางอยู่ กำลังเครียดกินเหล้าเมามาย ก็นึกขึ้นได้ว่า เหตุที่ พระบรรลือ ผู้เป็นสามีกลับมาในวันนั้น น่าจะเป็น เพราะ อีเกลี้ยง เป็นคนฟ้องเหตุเพราะตนไปมีอะไรกับสามีมัน

เมื่อ นางอยู่ คิดได้เช่นนั้น ก็ให้บ่าวทาสไปลาก อีเกลี้ยง มาขังไว้ที่ห้อง พร้อมกับใช้ไม้ทุบตีเป็นเวลาหลายวัน 

จนวันหนึ่ง เมื่อ อีเกลี้ยง ถูกปล่อยตัว นางอยู่ ก็ได้ให้ อีเกลี้ยง ไปหุงเข้าในตอนเช้าตรู่ ในขณะที่ อีเกลี้ยงก่อไฟ เตรียมที่จะหุ้งต้มข้าวให้ผู้เป็นนาย กำลังนั่งยองๆหน้าหม้อ นางอยู่ ก็เดินมาจากข้างหลังและถีบไปที่กลางหลังของ อีเกลี้ยง จนล้มหน้าคว่ำ ไม่หนำใจความอำมหิต นางอยู่ ถกผ้าถุงของอีเกลี้ยงขึ้น พร้อมกับนำไม้ที่ติดไฟจนแดงเถือก นาบที่อวัยวะเพศของ อีเกลี้ยง จนทำให้ร้องลั่นขอชีวิต แต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้าช่วย เพราะ เป็นเพียงทาส กลัวจะโดนลูกหลงไปด้วย ยังไม่พอ อีอยู่ ยังให้ทาสจับอีเกลี้ยงขึงกับพื้น พร้อมทั้งใช้ไฟเผาขนในที่ลับจนหมดสิ้น

จนเข้าวันที่ 1 สิงหาคม ปี พ.ศ.2424

ในขณะที่ อีเกลี้ยงกำลังนั่งอยู่ริมน้ำ นางอยู่ นั้นเดินผ่านมา ก็ปรี่เข้ามาถีบกลางลำตัวจนอีเกลี้ยงตกน้ำไป แขนของ อีเกลี้ยง ข้างหนึ่งไปฟาดกับเสาในน้ำจนแขนหัก เพื่อนทาสพากันหามอีเกลี้ยงไปพักฟื้น 

แต่แล้วไม่พ้นคืนวันนั้น อีเกลี้ยง ก็สิ้นลมหายใจลง

นางอยู่ เมื่อรู้ว่า อีเกลี้ยง ตาย ก็ไปบอกพระบันลือว่า อีเกลี้ยงตายด้วยโรคปัจจุบัน 

พระบันลือจึงสั่งให้ข้าทาสเอาศพอีเกลี้ยงไปฝังที่ป่าช้า ส่วนอีอยู่ได้ลอบกำชับกับข้าทาสว่า ให้บอกว่า ศพนั้นเป็นศพญวนเข้ารีต สัปเหร่อจะได้ไม่ชันสูตรตามกฎหมายสยาม



คดีสุดดำมืด! นายหญิงวิปลาส ผู้ใช้ทาสบำบัดความใคร่

เหล่าข้าทาสพากันแบกเอาศพอีเกลี้ยงซึ่งได้ถูกห่ออย่างดีลงเรือไปฝังยังป่าช้า 

เมื่อถึงวัด สัปเหร่อได้เดินเข้ามา 

บอกว่าจะขอชันสูตรศพ เหล่าข้าทาสนั้นก็ไม่ยอม ต่างพากันบอกว่า เป็นศพชาวญวนในอำนาจฝรั่ง ไม่มีสิทธิมาชันสูตร 

แต่สัปเหร่อไม่ยอมฟังเสียงเหล่าทาสพร้อมตะโกนกลับไปว่า "ศพใคร ข้าขอชันสูตรศพ หน่อย"

ข้าทาส บอกว่า "ศพญวน อยู่ในอำนาจฝรั่ง เจ้าไม่มีสิทธิ์" ข้าทาสได้บอกกับสัปเหร่อเพื่อเป็นการย้ำว่าไม่มีอำนาจในการตรวจสอบอีกครั้ง

สัปเหร่อ เห็นดังนั้น จึงบอกกับเหล่าทาสว่า "ถ้าไม่ให้ชันสูตร ข้าก็ไม่ให้เจ้าเอาศพมาฝังที่นี่ เจ้าไปหาวัดใหม่ต่อไปเถอะ" ว่าแล้ว สัปเหร่อ ก็เดินหนีไป

เมื่อสัปเหร่อไม่ยอม จะแก้ศพดูให้ได้ ข้าทาสก็ผิดหวังจึงพายเรือนำศพไปยังป่าช้าต่อไป เมื่อถึงแล้ว ก็ทำเช่นเดิม สัปเหร่อก็ขอแก้ดูดั่งเดิม เมื่อไม่ยอมให้ฝังก็ต้องเดินทางต่อไปอีก จนผ่านไป ป่าช้าแล้ว ป่าช้าเล่า

พอดีว่า มีพลเมืองดีคนนึง ชื่อ นายหนู ได้สังเกตพฤติกรรมเอาศพตระเวนหาที่ฝังรอบกรุง คงจะมีพิรุธแน่ๆ จึงนำเรื่องไปแจ้งแก่ทางการ 

ทางการเห็นว่า เป็นเรื่องมีพิรุธ จึงนำความขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณา และมีพระบรมราชโองการตั้งคณะกรรมการสอบสวนขึ้น

จากนั้นทางการจึงให้เกิดการชันสูตรศพอีเกลี้ยงขึ้น และพบว่า...

ศพอีเกลี้ยงนั้นกระหม่อมยุบกว้าง 2 นิ้ว หน้าบวมช้ำดำเขียว หูข้างซ้ายช้ำบวมมีเลือดไหลออกมาจากหูยังเป็นคราบติดอยู่ ต้นแขนริมศอกขวา บวมช้ำ และกระดูกหัก ต้นแขนซ้ายบวมช้ำกระดูกหัก อกบวมช้ำโตกลมหนึ่งนิ้ว สะโพกข้างขวาบวมช้ำดำเขียวเต็มทั้งสะโพก นอกจากนั้นมีแผลที่เกิดจากการตีด้วยไม้รวมเก้าแผล

เมื่อพบดังนั้น จึงรู้ว่า อีเกลี้ยงถูกฆาตกรรมโหด การสอบสวนจึงเริ่มขึ้น หลังจากการชันสูตรศพในทันที จนกระทั่งสามารถสืบไปถึงมือฆาตกรได้ ก็คือ นางอยู่ นั่นเอง

ไม่นานนัก ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องก็ถูกคณะตระลาการตัดสินโทษดั่งนี้

1. ไอ้ไฮ้ ผู้เป็นชู้ พิพากษาโทษโบย 50 ที

2. ทาสที่ช่วยอีอยู่ขึงพรืด เผาจิ๋มอีเกลี้ยง พิพากษาโทษโบย 60 ที

3. ทาสที่รู้เห็นเหตุการณ์แต่ไม่ยอมบอกทางการ พิพากษาโทษโบย 30 ที

4. พระบันลือสิงหนาท ถูกปรับ ข้อหาปล่อยปละละเลยไม่แจ้งทางการ

5. อีอยู่ พิพากษา ประหารชีวิต

แต่แล้วภายหลังสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ทรงให้งดโทษทาสที่รู้เหตุการณ์ เพราะเป็นทาสก็ต้องทำตามนาย และงดโทษไอ้ไฮ้ เพราะโดนพระบันลือลงโทษไปแล้ว

ส่วนทางด้านของ นายหนู ผู้ที่แจ้งเบาะแสให้ทางการได้รับทราบ ได้รับบำเหน็จโดยเอาเงินค่าปรับพระบันลือมาจ่ายให้

ส่วน อีอยู่ ก็ถูกนำตัวไปประหารชีวิตที่พลับพลาไชย ในวันที่ 15 ตุลาคม 2424 เมื่ออยู่บนหลักประหาร เธอร้องบอกเพชฌฆาต แต่เพียงว่า "ฆ่าฉันเสียเร็วๆ ฆ่าฉันเสียเร็วๆ"

และแล้วเพชฌฆาต ก็ตัดหัว อีอยู่ ก็กระเด็นออกจากร่างไป และร่างกายที่ไร้หัวของเธอ ก็ตกเป็นอาหารของแร้งกา ถือเป้นการสิ้นสุดคดีสุดโหดเหี้ยมที่สุดในสยามประเทศ

จากบันทึกของนายคาร์ล บอก นักธรรมชาติวิทยาชาวนอร์เวย์ ที่เข้ามายังสยามและได้เห็นการประหารชีวิตอีอยู่ในวันนั้น บอกว่า 

“พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งปกติไม่ค่อยเต็มพระทัยในการลงพระปรมาภิไธยในคำสั่งประหารชีวิตนัก มิได้ทรงรีรอเลยสำหรับคดีรายนี้”



คดีสุดดำมืด! นายหญิงวิปลาส ผู้ใช้ทาสบำบัดความใคร่

ที่มา partiharn


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
เช็คเบอร์มือถือ คลิ๊กเลย ++
กระทู้เด็ดน่าแชร์