ตำนาน วันสิ้นโลก (คุณเชื่อมั้ย) ??

ตำนาน วันสิ้นโลก (คุณเชื่อมั้ย) ??


เราคงเคยได้ยินคำทำนายเรื่องวันสิ้นโลกกันใช่ป่ะ อืมก็มีหลายคำพยากร แต่ก็มีคำพยากรจากโลกอดีตในช่วงเวลายาวนานมาแล้วแต่ก็สามารถกล่าวได้ว่าใกล้เคียงกับเหตุการณ์จริงจริงหรือปรากฎการณ์ที่โลกกำลังเผชิญ ชนเผ่าที่มำนายนี้ก็คือชนเผ่ามายันซึ่งก็ได้พยากรณ์เรื่องของ "วันครบอายุขัยของโลก" เอาไว้อย่างใกล้เคียงกับสิ่งที่เกิดขึ้นทุกวันนี้อย่างมาก

นักโบราณคดีได้ค้นพบอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ของชาว มายัน ซึ่งมีอยู่ในแถบทั่วไปของอเมริกากลาง มีการค้นพบสิ่งก่อสร้างโบราณที่ลักษณะคล้ายอาคารวงกลมคล้ายกับหอดูดาวของโลกปัจจุบัน จึงสันนิษฐานว่า มายันน่าจะใช้สถานที่นี้เป็นการสังเกตวงโคจรของดาวต่างๆบนท้องฟ้าซึ่งจากปฏิทินของชาวมายันนี้เองทำให้นัดดาราศาสตร์ ทึ่งในความสามารถของชาวมายัน ในการกำหนดรอบวงโคจรของดาวต่างไท้งนอกและในระบบสุริยะได้อย่างแม่นยำ และสามารถคำนวนได้ละเอียดมากซึ่งปฏิทินของชาวมายันนี้ก็ยังสามารถนำมาอ้างอิงได้ในโลกปัจจุบัน


นอกจากนี้แล้ว ความเชื่อแต่โบรานของชาว มายัน หลายเรื่องก็ยังค่อนข้างจะเป็นที่ยอมรับในวงการวิทยาศาสตรืสมัยใหม่ โดยเฉพาะอยางยิ่ง แล้วในด้านคณิตศาสตร์ ที่พบว่าวิธีการคำนวนเลขของชาวมายัน นั้นละเอียดแม่นยำกว่าระบบใดใดที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนสมัยนั้นอีก แม้แต่ระบบตัววเลขของโรมันที่เป็นที่ยอมรัยก็ยังไม่ละเอียดเท่า


ปฏิทินของชาวมายันจะใช้วิธีคิดคำนวนด้วยกันหลายวิธี แต่จะมีที่ถูกนำมาใช้อ้างอิงมากที่สุด คือ ปฏิทินที่เรียกว่า Long Count ชาวมายัน

นับเวลาเดิน 1 คิน (วัน) โดยคำนวนจากช่วงเวลาดวงอาทิตย์ขึ้นและตกเหมือนปกติแต่วิธีกำหนดวัน เดือน ปี จะต่างไปจากปฏิทินสากลที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ คือ กำหนดให้จำนวน 20 คิน(วัน) เป็น 1 อุยนาล (เดือน) 18 อุยนาล เป็น 1 ตุน (ปี) 20 ตุนเป็น 1 คาตุน 20 คาตุน เป็น 1 บาคตุน และ 13 บาคตุน ก็จะเป็นรอบ 1 "ยุคสมัย" (ปฏิทินมายันนี้ก็คำนวนเวลาใน 1 ปีได้เท่ากับโลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ 1 รอบเหมือนกัน แต่ 1 ปั ของชาวมายัน จะมี 360 วัน ซึ่งเป้นค่าเฉลี่ยระหว่างปฏิทินสากลหรือแบบสุริยคติ(365) กับแบบ จันทรคติ (354)ที่นับตามวงโคจรของดวงจันทร์ที่คนโบรานนิยมใช้) นอกจากกำหนดหน่วยเป็นปีแล้วยังกำหนดหน่วยที่มากกว่าปีเอาไว้ด้วย แล้วที่สำคัญสามารถกำหนดหน่อยเป็นยุคสมัยอีกด้วยซึ่ง 1 รอบยุคสมัยนั้นจะมี 13 บาคตุน คิดเป้นวันก็จะเท่ากับ 1,872,000 วันหรือประมาน 5,000 ปีตามปฏิทินสากลเท่ากับทุกๆ 5000 ปีชาวมายันจะผลัดเปลี่ยนยุคสมัยกันครั้งนึง


เกริ่นมานานก็เข้าประเด็นตรงคำว่ายุคสมัย ที่เป็นประเด็นถกเถียงกัน นักโบรานคดีเคยมีความเข้าใจว่า 1 รอบยุคสมัย ก็น่าจะคล้ายกับการครบ 1 ศตวรรษ หรือ 1 สหัสวรรษ

อย่างเช่นปฏิทินสากลใช้อย่างปัจจุบัน แต่จากการวิเคราะห์ต่อมาได้วิเคราะห์จากความเชื่อของชาวมายัน เรื่องหนึ่งในบันทึกโบรานที่กล่าวว่า "เมื่อครบ 1 รอบยุคสมัยแล้วเทพเจ้าจะเสด็จลงมา" จึงได้มีการเปลี่ยนทิศทางในการศึกษกนใหม่ว่ายุคสมัยของชาวมายัญน่าจะมีมากกว่า ศตวรรษ หรือ สหัสวรรษ ซึ่งการศึกษาจากหลักฐานซึ่งเป็นคัมภีร์ที่ ชาวมายันทั่วไปนับถือคือ "โปโปล วู"(Popol Vuh) ทีบันทึกตำนานการสร้างดลกของเทพเจ้าของชาว มายัน เอาไว้เกี่ยวกับอายุขัยของยุคแต่ละยุคว่า โลกนี้เคยเกิดขึ้น เป็นอยู่ แล้วแตกดับ ผ่านยุคสมัยต่างๆมาแล้วหลายยุคหลายสมัยและจะผลัดเปลี่ยนเช่นนี้ตลอดไป แต่สิ่งที่บันทึกบอกกล่าวไว้ไม่ได้มีเท่านี้ก็คือ การมีคำกล่าวเอาไว้ว่าก่อนจะครบรอบการผลัดเปลี่ยนยุคต่างๆนั้น จะมีสัญญาญของเหตุการณืต่างๆเกิดขึ้นเช่น การเกิดแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด พายุใหญ่ ไฟไหม้ใหญ่ น้ำท่วมใหญ่ แล้วในที่สุด"วันสิ้นยุค"ก็จะเกิดขึ้น ซึ่งในวันสิ้นยุคนั้นก็จะเกิดปรากฏการณ์ไฟลุกโชติช่วงขึ้นครั้งใหญ่ไปทุกหนแห่ง เพื่อกวาดล้างทุกสิ่งทุกอย่างให้หมดสิ้น เป็นการล้างยุคสมัยเก่าลง หลังจากนั้นยุคสมัยใหม่ก็จะเกิดขึ้น แล้วทุกอย่างก็จะเกิดขึ้นใหม่


ในคัมภีร์ โปโปล วู กล่าวถึงตำนานการสร้างและทำลายโลกของเทพเจ้าที่กำหนดอายุขัยของยุคต่างๆ ซึ่งที่ผ่านมานั้นพระเจ้าได้สร้างโลกขึ้นมา 3 ครั้งแล้ว แล้วยุคปัจจุบันก็คือยุคที่ 4 ซึ่งยุคที่ 4 นี้หากยึดตามปฏิทินสากลที่ใช้กันก็จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 13 สิงหาคม ปี 3114 ก่อนคริสกาล และจะไปสิ้นสุดเอาในวันที่ 23 ธันวาคม 2012 ก้จะถอว่าเป้นวันสิ้นสุดของยุคที่ 4 แล้วจะผลัดเปลี่ยนเข้าสู่ยุคที่ 5 ซึ่งหมายความว่าวันที่ 23 ธันวาคม 2012 จะเป้นวัน "สิ้นโลก" ไปหรือ อย่างไร?


แต่เดิมเรื่องการพยากรนี้ก็ยังไม่ได้รับความสนใจมากนักจนกระทั่งเมื่อดลกก้าวผ่านเหตุการณ์ต่างๆมาจนกระทั่งใกล้ถึงวันที่กำหนดไว้ในปฏิทิน (23 ธันวาคม 2012 ) และปรากฏการ์ณ ธรรมชาติต่างๆที่ถี่และบ่อยขึ้น ประกอบกับการที่โลกประสบกับสภาวะโลกร้อน ที่เป้นอยู่ปัจจุบัน ก็ยิ่งทำให้หลายๆคนหันมาสนใจคำพยากรณ์นี้มากขึ้น ยิ่งตรงคำที่ว่า


"ก่อนจะครบรอบการผลัดเปลี่ยนยุคต่างๆนั้น จะมีสัญญาญของเหตุการณืต่างๆเกิดขึ้นเช่น การเกิดแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด พายุใหญ่ ไฟไหม้ใหญ่ น้ำท่วมใหญ่ แล้วในที่สุด"วันสิ้นยุค"ก็จะเกิดขึ้น " จึงทำให้ใครๆเริ่มนำความเชื่อของชาวมายัน มาคิดว่าหรือสิ่งที่เกิดขึ้นปัจจุบันจะเป็นไปตามคำทำนายของ ชาวมายัน แล้วถ้าเป็นจริง วันที 23 ธันวาคม 2012 อะไรจะเกิดขึ้น?


ซึ่งจากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์เพื่อหาเหตุผลและปัจจัยที่นำมาสู่สิ่งบ่งบอกเหตุการณ์ต่างๆตามตวามเชื่อของชาวมายัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการกำหนดปี 2012 ไว้ว่าเป้นวันสิ้นสุดของยุค หรือวันสิ้นดลกของยุคนี้ โดยนักวิจัยด้านคอมพิวเตอร์ นักธรณีวิทยา นักดาราศาสตร์ กลุ่มที่ร่วมกันศึกษาเรื่องนี้พบว่า ในช่วงปี 2012 โลกจะเกิดปรากฏการณ์ การพลิกกลับของขั้วแม่เหล็กโลก
(Magnetic Reversal) เกิดขึ้นปรากฏการณ์นี้ก็คือการที่ขั้วแม่เหล็กโลกพลิกกลับจากขั้วฌหนือเป็นขั้วใต้ ซึ่งสนามแม่เหล็กโลกนี้แต่เดิมก็ไม่ได้อยู่ตายตัวมันจะพลิกกลับกันเช่นนี้ตลอดเวลา มันก็มีช่วงเวลาการพลิกกลับของมันเอง โดยการพลิกกลับขั้วครั้งล่าสุดเกิดเมื่อประมาณ 3 หมื่นปีก่อนนี้เอง ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ยังพบอีกว่าการกลับขั้วแม่เหล็กโลกในแต่ละครั้งนั้นจะส่งผลให้เกิความแปรปรวนขึ้นได้ ซึ่งจะตามมาด้วยการเกิดการผ่าเหล่าของสิ่งมีชีวิตบางสายพันธ์ บางสายพันธ์อาจสุญพันธ์ลงที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะสนามแม่เหล็ก โลกจะเกิดการแปรปรวนระหว่างที่เกิดการสลับขั้วนี้สนามแม่เหล็กที่เคยเป้นเกราะกำบังรังสีคอสมิค จากดวงอาทิตย์โดยตรง จะทำงานไม่มีประสิทธิภาพในช่วงเวลานั้นทำให้ไม่สามารถสะท้อนรังสีคอสมิคหรือเบี่ยงเบนทิศทางมันอย่างได้ผล รังสีนี้ก็จะตกสู่พื้นโลกโดยตรงซึ่งส่งผลต่อสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่บนผิวโลก และยังมีอีก 1 ข้อมูลว่าในช่วงปี 2012 นี้ยังมีปรากฏการณ์ที่จุดดับของดวงอาทิตย์ครบวงรอบ 11 ปีอีกด้วย ซึ่งถ้าทั้ง 2 เหตุการณ์เกิดขึ้นพร้อมกันพอดีในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งก็จะส่งผลอย่างมากมายอย่างที่ไม่อาจะคิดได้


แต่เรื่องนี้ก็มีความคิดแยกเป็น 2 ทางทางนึงคือทางฝายรัฐซึ่ง NASA ได้ออกมาแสดงความคิดปรามการตื่นตระหนกว่า ต่อให้แม่เหล็กโลกอ่อนแรงลงจนสุญเสียการป้องกันจากรังสีคอสมิค รังสีคอสมิคก็จะส่งผลร้ายแรงแค่ทำให้ รบกวนต่อการสื่อสารและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิคต่างๆเท่านั้น แต่จากการคำนวนของกลุ่มนักวิทยาศสาตร์ที่ศึกษาเรื่องนี้ และทดลองสร้างแบบจำลองดว้ยคอมพิวเตอร์ ก็แย้งว่า ไม่เพียงแค่รบกวนการสื่อสารเท่านั้น สัตว์ต่างๆจะเกิดความสับสนขึ้นอย่างแน่นอน นกนานาชนิดจะสับสนทางประสาทสัมผัส จะเกิดการหลงทิศทางและหลงฤดูกาล ระบบภูมิคุ้มกันต่างๆจะเปลี่ยนแปลง เนื่องจากจะเกิดสภาวะอากาศที่แปรปรวน ทำให้เชื้อโรคบางชนิดปรับตัวเอง สิ่งมีชีวิตต่างๆจะกลายพันธ์ หรือผ่าเหล่า โดยรังสีคอสมิคที่เข้าข้นในบางพื้นที่จะเกิดสภาวะของ"มะเร็ง" ก่อตัวขึ้นได้ง่าย


ย้อนไปถึงความเชื่อของชาวมายัน ทุกวันนี้ผู้เฒ่าผู้แก่ ของชาวมายัน ที่ยังคงมีชีวิตอยู่นั้น ต่างก็ยังถ่ายทอดตำนานสุ่ลูกหลาน แล้วท่ามกลางตำนานเหล่านั้นก็ยังแฝงคติการดำรงชีวิต อยุ่อย่างระวัง

โดยไม่ไปทำลายธรรมชาติ ชาวมายันมีคำสอนลูกหลานถึงธรรมาชาติว่า "เมื่อพระเจ้าสร้างโลกขึ้นมานั้น พระองค์ได้มอบหมายหน้าที่ให้มนุษย์ผู้มีสติปัญญาเหนือสัตว์ทั้งปวงเป็นผู้ปกป้องดูแลสรรพสัตว์และต้นไม้ต่างๆ ให้ดำรงไปตามชีวิตของมัน มนุษย์ก็คือวงจรธรรมชาติด้วย ซึ่งต้องดำเนินไปตามกฏของธรรมชาตื ต้องล่าเพื่อเป้นอาหาร และต้องปลูกเพื่อชดเชยในสิ่งที่ขาดหาย หากมนุษย์ไม่ทำหน้าที่ผู้ปกป้องให้สมบูรณ์ หรือทการละเมิดกฏของธรรมชาตินี้ วงจรธรรมชาติก็จะเปลี่ยนแปลงจนอาจถึงกาลวิบัติ บัดนั้นท้องฟ้าจะเปลี่ยนสี ดิน น้ำ มหาสมุทรจะลุกเป็นไฟ ทุกหนทุกแห่งจะลุกเป็นไฟสิ่งมีชีวิตจะอยู่ไม่ได้ และจะถึงกาลอวสานของโลกพร้อมกับทุกสรรพชีวิตบนโลก" จะเห็นว่าคำสอนของชาวมายัน เป็น ตรรกแบบวิทยาศาสตร์มาก ซึ่งที่เห็นจริงก็คือ ระบบชีวิต ต่างๆที่ดำเนินไปภายใต้กฏแห่งธรรมชาติ ซึ่งเปรียบเสมือนห่วงโซ่ที่เกี่ยวร้อยกันแยกกันไม่ออก หากข้อใดข้อหนึ่งขาดช่วง ก็จะทำให้ห่วงโซ่ไม่สามารถทำงานได้อีกต่อไป ซึ่งจะส่งผลสู่ ข้อทุกๆข้อห่วงโซ่ที่ห่วงนั้นเกี่ยวร้อยอยู่ ซึ่งผลสุดท้ายก็จะต้องย้อนกลับสู่ตัวเองด้วยนั่นเอง ซึ่งที่เป้นเช่นนี้มันก้มาจากมนุษย์เอง ที่ไม่ทำหน้าที่ปกป้องวงจรธรรมชาติ ในฐานะที่มีภูมิปัญญาเหนือใครในปฐพี แต่กลับใช้ภูมิปัญญาในทางที่ผิด ทำการโกงธรรมชาติ จนธรรมชาติเกิดความระส่ำระส่าย หรือว่า วันแห่งการพิพากษาได้ใกล้เข้ามาแล้วจริง??


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์