นักเลง-อันธพาล ในทศวรรษ 2490-2500 กับความเข้าใจเรื่อง “แดง ไบเลย์”


นักเลง-อันธพาล ในทศวรรษ 2490-2500 กับความเข้าใจเรื่อง “แดง ไบเลย์”

"แล้วแต่ปุ๊" คงเป็นวลีจับใจผู้ชมภาพยนตร์เรื่อง 2499 อันธพาลครองเมือง แต่ในความเป็นจริงเนื้อหาของภาพยนตร์เรื่องนี้กลายเป็นภาพ "มายาคติ" ที่ครอบงำการรับรู้เกี่ยวกับนักเลง - อันธพาล ในช่วงปลายทศวรรษ 2490 ถึงต้นทศวรรษ 2500 เสียจนกลายเป็นความจริงที่อยู่ในความทรงจำของผู้คนในปัจจุบันไปเสียแล้ว ถึงแม้ว่าในความเป็นจริงเรื่องราวของกลุ่มนักเลง - อันธพาล เหล่านั้นจะไม่ได้เป็นไปตามที่ปรากฎในภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวก็ตาม

คำว่า "นักเลง" หรือ "อันธพาล" นั้นมักถูกสื่อความหมายออกมาในแง่ลบ แต่การนิยามความหมายนั้นผู้นิยามมักเป็นผู้ที่ไม่ได้อยู่ในวงการของนักเลงหรืออันธพาล แต่หากมองจากสายตาของกลุ่มผู้ที่อยูในวงการแล้วจะไม่ปรากฎคำว่านักเลงหรืออันธพาลที่ให้ความหมายไปในแง่ลบแต่อย่างใด แต่จะพบคำว่า "นักเพลง" หรือ "จิ๊กโก๋" ที่มีความหมายที่ค่อนข้างที่จะเบาลงมามาก

จากคำบอกเล่าของ ปุ๊ กรุงเกษม หนึ่งในผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ในช่วงเวลานั้นได้เล่าว่า ชีวิตของเหล่าวัยรุ่นชายในช่วงนั้นล้วนแต่มีความคลั่งไคล้ในวัฒนธรรมตะวันตกและชอบฟังดนตรีตะวันตกเป็นชีวิตจิตใจ และชอบการเที่ยวไปตามสถานที่พักผ่อนหย่อนใจหรือสถานบันเทิงต่างๆ เช่น ถนนสิบสามห้างบางลำภู วังบูรพา สถานที่เหล่านี้ล้วนเป็นแหล่งพบปะกันของบรรดาวัยรุ่นขาโจ๋ในสมัยนั้น ทำให้ในหลายครั้งเกิดเหตุทะเลาะวิวาทกันของเหล่าวัยรุ่นกลุ่มต่างๆ ที่เกิดการขัดแย้งกันทั้งในกรณีที่เจอกันครั้งแรกแล้วไม่ชอบหน้ากันหรือเป็นคู่อริเก่ากันมาก่อน


(รูปของนายบัญชา สีสุกใส (แดง ไบเลย์) ยอมมอบตัวกับทางการ)
----
การทะเลาะวิวาทนั้นมีอาวุธส่วนมากเป็นไม้และมีดแต่ไม่มีอาวุธปืนเข้าไปเกี่ยวเหมือนในภาพยนตร์แต่อย่างใด กลุ่มวัยรุ่นอันตรายที่มีชื่อเสียงโด่งดังในช่วงเวลานั้นได้แก่ แดง ไบเลย์ ปุ๊ ระเบิดขวด ดำ เอสโซ่ ปุ๊ กรุงเกษม จ๊อด เฮาดี้ หล่อ ปังตอ ตุ๋ย ระเบิดขวด ฯลฯ กลุ่มขาโจ๋นี้ยังถือได้ว่าเป็นเพียงแค่นักเลง "รุ่นเล็ก" ที่นิยมเสียงดนตรี และการเที่ยวกับกลุ่มเพื่อนฝูงรักในศักดิ์ศรีรักเพื่อนพ้องและนิยมการแต่งกายให้ดูดีเท่านั้น ไม่ได้เป็นถึงผู้มีอิทธิพลหรือนักเลงมืออาชีพที่มีหน้าที่ในการคุมกิจการเถื่อนต่างๆ

 แต่อย่างใดในช่วงปลายทศวรรษ 2490 - 2500 สังคมไทยในช่วงเวลานั้นอยู่ในขณะของการเปลี่ยนแปลงทั้งในด้านการเมือง-เศรษฐกิจและสังคมเป็นอย่างมาก การขยายตัวของเศรษฐกิจทั้งในด้ารการค้าและบริการภายใต้เศรษฐกิจรูปแบบ "เสรีนิยม" ทำให้กรุงเทพกลายเป็นศูนย์กลางความเจริญในหลากหลายด้าน ทั้งในด้านการศึกษา การแพทย์ สินค้าและบริกาต่างๆ ฯลฯ อีกทั้งกรุงเทพฯ ยังเป็นเมืองที่มีประชากรที่หลากหลายทั้งชนชั้นสูง ชนชั้นกลางที่ขยายตัวมากขึ้น หรือชนชั้นล่างที่อพยพมาจากต่างจังหวัดเพื่อมาขายแรงงานในเมืองกรุง

นักเลง-อันธพาล ในทศวรรษ 2490-2500 กับความเข้าใจเรื่อง “แดง ไบเลย์”

 (ภาพในหน้าหนังสือพิมพ์ ปุ๊ ระเบิขวด และดำเอสโซ่ ถูกจับขึ้นศาลพิจารณาคดี )

  วัฒนธรรมต่างชาติโดยเฉพาะวัฒนธรรมอเมริกันได้มีการแพร่หลายในสังคมไทยในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่2เรื่อยมาจนถึงช่วงหลังสงครามเย็น การรับวัฒนธรรมอเมริกันนี้ถูกแสดงออกทั้งในด้านของการแต่งกาย การไว้ทรงผมให้เหมือนกับดาราฝรั่งโดยเฉพาะเจมส์ ดีนและเอลวิส รวมทั้งการฟังเพลงร็อคแอนด์โรล วัฒนธรรมอเมริกันนี้ได้รับความนิยมในหมู่กลุ่มวัยรุ่นที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นค่านิยมของวัยรุ่นไทยในยุคนั้น

ถึงแม้ว่าปัญหาเรื่องการยกพวกตีกันของเหล่านักเลง - อันธพาลในช่วงนั้นจะไม่ได้เป็นปัญหาระดับชาติที่ร้ายแรงมากนัก แต่เมื่อเกิดการปฏิวัติขึ้นในพ.ศ. 2501 ปัญหานักเลง-อันธพาล ถูกยกขึ้นมาเป็นเรื่องที่ต้องได้รับการปราบปรามอย่างเด็ดขาดเพื่อสร้างความสงบสุขในสังคม

การสิ้นสุดของนักเลง - อันธพาล

ภายหลังการรัฐประหารและขึ้นสู่อำนาจของจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ หลังปีพ.ศ. 2501 ได้มีการจัดระบบระเบียบสังคมกันอย่างจริงจัง การปราบปรามนักเลง - อันธพาล เป็นหนึ่งในนโยบายที่สำคัญอย่างหนึ่ง ระเบียบข้อบังคับมากมายถูกนำมาใช้ในการจับกุมและปราบปรามบรรดากลุ่มวัยรุ่นต่างๆ นักเลงที่มีชื่อเสียงต่างถูกจับเข้าคุมขังคุภที่ลาดยาวกันเป็นจำนวนมาก จนถือได้ว่าเป็นุดสิ้นสุดของกลุ่มนักเลง - อันธพาล ที่ได้รับอิทธิพลจากตะวันตก

เครดิตแหล่งข้อมูล : silpa-mag.com

นักเลง-อันธพาล ในทศวรรษ 2490-2500 กับความเข้าใจเรื่อง “แดง ไบเลย์”

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
เช็คเบอร์มือถือ คลิ๊กเลย ++
กระทู้เด็ดน่าแชร์