ห้องสมุดผีสิง.....

ห้องสมุดผีสิงที่เมืองเบอร์นาร์ดสวิลล์ ซึ่งมีวิญญาณสิงอยู่ที่นี่เป็นร้อยปีมาแล้วห้องสมุดผีสิงที่เมืองเบอร์นาร์ดสวิลล์ ซึ่งมีวิญญาณสิงอยู่ที่นี่เป็นร้อยปีมาแล้ว

ตึกหรืออาคารที่ทางรัฐจะนำมาทำเป็นสถานที่ราชการ ส่วนใหญ่มักจะเป็นอาคารที่มีอยู่แต่เดิมแล้ว ซึ่งเป็นการสะดวก ไม่จะเป็นต้องไปสร้างกันใหม่ให้เสียงบประมาณ มักจะมีข้อเสียตามมามากมาย แต่ข้อเสียอย่างหนึ่ง คือ มักจะมีวิญญาณสิงอยู่ในอาคารเหล่านี้!


ห้องสมุดผีสิงในเมืองเบอร์นาร์ดสวิลล์ (Bernardsville)ซึ่งอยู่ในแขวง ซัมเมอร์เซท (Somerset)ในรัฐนิวเจอร์ซี่ เป็นต้น อาคารดังกล่าวสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1710 และได้ขึ้นบัญชีเป็นสถานที่ประวัติศาสตร์ของชาติ อาคารหลังนี้มีประวัติมาช้านาน เคยเป็นทั้งโรงเตี๊ยมและฟาร์มเฮ้าส์มาก่อน จนกลายมาเป็นห้องสมุดของทางราชการปัจจุบัน ห้องสมุดแห่งนี้ เป็นแหล่งพบปะของชาวเมือง เป็นที่ค้นหาข้อมูลต่างๆ และเป็นที่นั่งหาความสงบของคนบางคน แต่มีสมาชิกของห้องสมุดนี้อยู่คนหนึ่งซึ่งไม่ยอกจากอาคารแห่งนี้ไปไหน เพราะว่าเธอเป็นผีที่สิงอยู่ที่นี่ เธอชื่อ ฟิลลิส ปาร์เกอร์ (Ms. Phyllis Parker) บันทึกเกี่ยวกับเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นในอาคารแห่งนี้ สามารถค้นคว้าย้อนหลังไปได้ตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 แต่เชื่อกันว่าที่มาของการหลอกหลอนจริงๆเกิดขึ้นเมื่อปี 1777 ซึ่งตอนนั้นอาคารแห่งนี้ได้ถูกใช้เป็นโรงเตี๊ยมมีชื่อว่า The Veal-town Tavern คำว่า Veal-townนั้นเป็นชื่อของเมืองนี้มาแต่เดิมนั่นเอง




ตอนนั้นกองทหารของนายพลวอชิงตันมักจะไปพักกันที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้อยู่บ่อยๆ ในระหว่างการยกทัพจากเมืองปริ๊นซ์ตันไปเมืองมอร์ริสทาวน์ คนที่เป็นเจ้าของโรงเตี๊ยมแห่งนี้ชื่อว่า กัปตันปาร์เกอร์ มีลูกสาวชื่อฟิลลิส เป็นผู้ช่วยเหลือกิจการต่างๆ แลัเป็นที่เล่ากันมาว่า ฟิลลิสนั้นมีความรักอยู่กับนายแพทย์ของเมืองนี้คนหนึ่งชื่อ ดร.ไบแรม (Byram) ตามประวัติมีอยู่ว่าเมื่อเดือนมกราคมปี1777 นายพลแอนโธนี่ เวย์นกับคณะทหารของเขาได้มาพักที่โรงเตี๊ยมแก่งนี้เพื่อพักผ่อนคืนหนึ่ง ในขฯะที่อยู่ที่นั่น ประกฏว่า ถุงเมล์ของนายพลเวย์นที่มีเอกสารลับที่สำคัญได้ถูกขโมยไป ทุกคนที่อยู่ในโรงเตี๊ยมนั้นถูกเรียกมาสอบปากคำ ยกเว้นคุณหมอไบแรมคนเดียว




เมื่อกัปตันปาร์เกอร์ซึ่งเป็นเจ้าของโรงเตี๊ยมได้บรรยายลักษณะของคุณหมอไบแรมให้ท่านนายพลเวย์นฟัง เขาก็จำได้ว่าเป็นคนเดียวกับอารอน ไวล์ด


ซึ่งเป็นสายลับของฝ่ายตรงข้าม จึงมีการส่งกำลังออกไปคอยจับตาดูคุณหมอไปแรม และต่อมาหมอไบแรมก็ถูกจับโดยมีเอกสารที่ขโมยไปอยู่กับตัวด้วย เขาถูกสอบสวนและนำตัวขึ้นศาลและถูกแขวนคอตรงนั้น กัปตันปาร์เกอร์ได้นำศพของไบแรมกลับมาเพื่อจะทำการฝังให้ถูกต้องตามประเพณี
เนื่องจากเขาเป็นแฟนของลูกสาวของตนนั่นเอง กัปตันปาร์เกอร์ได้เอาศพของคุณหมอไบแรมใส่ลังไม้ แล้วนำกลับไปยังโรงเตี๊ยมของตน เพื่อรอการฝังในเช้าวันรุ่งขึ้น เขาบอกกับลูกสาวว่า ถังดังกล่างมีศพของสายลับที่ถูกประหารอยู่ แต่ไม่กล้าบอกเธอว่ามันเป็นศพของคนที่ลูกสาวเขารัก บางทีเธออาจจะได้ยินทหารของนายพลเวย์นพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ในตอนหัวค่ำก็เป็นได้ เสียงต่อมาที่ทุกคนได้ยินก็คือเสียงหวีดร้องอย่างโหยหวนคล้ายหัวใจแตกสลายของฟิลลิส เมื่อเห็นร่างอันไร้วิญญาณของคนรักอยู่ในลังไม้ใบนั้น นักประวัคิศาสตร์ในย่านนั้นเชื่อว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ฟิลลิสเสียสติไปเลย แต่ไม่มีหลักฐานใดๆเกี่ยวกับชีวิตของเธอในช่วงต่อมาหรือบันทึกเกี่ยวกับความตายของเธอ แต่เชื่อกันว่าวิญญาณของฟิลลิสได้ยัอนกลับมายังที่ที่เกิดเหตุการณ์เศร้าสลดในคืนแห่งฤดูหนาวอันเย็นยะเยือก เพื่อเล่นย้อมบทละครชีวิตอันโศกเศร้าให้ผู้ชมรุ่นใหม่ได้ชม




ในขณะที่มีข่าวลือว่าอาคารแห่งนี้มีผีสิงมาก่อนแล้วแต่รายงานจริงๆเกี่ยวกับวิญญาณหลอนเริ่มขึ้นในราวปี 1875 เมื่อสถานที่แห่งนี้ได้ถูกเปลี่ยนให้เป็นบ้านพักอาศัยส่วนตัวของครอบครัวหนึ่ง ซึ่งรายงานว่าได้ยินเสียงประหลาด เช่น เสียงเท้าเดิน เสียงเสื้อผ้าดังกรุ๋งกริ๋ง และหน้าต่างเปิดและปิดได้เองดังโครมคราม ในคืนอันหนาวเหน็บคืนหนึ่งของเดือนธันวาคม ปี 1877 เม่บ้านของครอบครัวนี้อยู่ในบ้านกับลูกของเธอซึ่งกำลังนอนอยู่ชั้นบน ในขณะที่กำลังเย็บผ้าอยู่นี้ เธอก็รู้สึกตกใจกับเสียงย่ำเท้าหนักๆตรงที่หน้าประตูครัวและเสียงที่ฟังคล้ายกับเสียงผู้ชายหลายคนแบกของอะไรหนักๆเข้ามา ต่อจากนั้นเสียงเท้าดังกล่าวเหล่านั้นก็เดินออกไปทางประตูด้านหลัง



อีกประเดี๋ยวเดียวก็มีเสียงอีกอย่างหนึ่งเกิดขึ้น


มันเป็นเสียงฝาไม้ถูกงัดและฉีกออกจากลังหรือกล่อง ลูกของเธอที่นอนอยู่ในห้องนอนชั้นบนก็หวีดร้องขึ้นด้วยความกล้ว จนทำให้เธอต้องวิ่งขึ้นไปดู เธออุ้มลูกขึ้นมาแล้วรีบเอาสลักใส่ที่ประตูห้องนอน เมื่อมีเสียงร้องอย่างน่าหวาดกล้วของผู้หญิงคนหนึ่งดังมาจากห้องครัว หลังจากเสียงกวีดต้องดังกล่าวแล้ว ก็เป็นเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้น ซึ่งค่อยๆจางหายไปในที่สุด จากการตรวจสอบต่อมาพบว่าบ้านดังกล่าวถูกล็อคไว้อย่างดี ไม่มีใครเข้ามาและไม่มีอะไรแตกหักทั้งสิ้น ทำให้ทุกคนตระหนักว่าเสียงอึกทึกดังกล่าวนั้นเป็นเสียงของวิญญาณเท่านั้นเอง




ห้องครัวที่ว่านี้แต่เดิมเคยเป็นห้องกินข้าวมาก่อน ซึ่งเคยมีการนำเอาลังใส่ศพของไบแรมมาตั้งไว้ตรงหน้าเตาผิงไป ตอนที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวนี้ เรื่องของไบแรมและฟิลลิสยังไม่ค่อยมีใครรู้จักเท่าใดนัก เพิ่งจะมาในตอนหลังเท่านั้นที่นักประวัติศาสตร์ไปค้นคว้าหาหลักฐานจึงได้ทราบเรื่องดังกล่าว




มีเรื่องราวเกี่ยวกับอาคารหลังนี้อีกมากมายหลังจากนั้น แต่เหตุการณ์ที่ได้รับการบันทึกไว้อีกเรื่องหนึ่งเกิดขึ้นในเย็นวันหนึ่งของเดือนมกราคม 1975 เมื่ออาคารแห่งนี้ได้เปลี่ยนเป็นห้องสมุดแล้ว มีอาสาสมัครคนหนึ่งที่ทำงานที่นี่ซึ่งกำลังเดินมาจากรถของเธอเจ้าไปในยังห้องสมุด ได้มองเข้าไปทางหน้าต่าง ก็ได้เห็นวิญญาณของผู้ชายคนหนึ่งซึ่งแต่งตัวในชุดศตวรรษที่ 18 หลังจากที่เธอเข้าไปในอาคารแล้ว ก็ไม่พบว่ามีผู้ใดอยู่ภายในเลยสักคน และเกตุการณ์ทำนองนี้ก็เกิดขึ้นบ่อยๆ เจ้าหน้าที่ที่เคยทำงานที่ห้องสมุดนี้ 2 คน คือ มาร์ธาฮามิลล์และมาเรีย แมนดาลา ได้รายงานเกี่ยวกับเหตุการณ์อันชวนให้ขนหัวลุกซึ่งเกิดขึ้นในราวปี 1980 ในเย็นของฤดูหยาววันหนึ่ง ฮามิลล์กำลังนั่งทำงายอยู่คนเดียวหลังจากงานเลิกแล้ว เพื่อจัดทำรายงานประจำปี ทันใดนั้น เธอก็ได้ยอนเสียงพึมพำดังขึ้นมาจากมุมหนึ่งในอาคารแห่งนี้ เธอเองคิดว่าอาจจะมีใครเข้ามาในห้องสมุดนี้ จึงได้ค้นดูทั่วๆอาคาร แต่ก็ไม่พบใคร และประตูกับหน้าต่างทุกบานก็ปิดสนิท เมื่อเธอกลับเข้าไปทำรายงานต่อ เธอก็ได้ยินเสียงพึมพำดังกล่าวอีก ซึ่งเธอเปรียบเทียบว่าเหมือนเสียงเด็กที่กำลังซุบซิบเล่าความลับของกันและกัน สถานที่เดียวที่เธอไม่ได้ลงไปตรวจดูก็คือห้องใต้ดิน เนื่องจากเธอหวาดกลัวเกินไปที่จะลงไป

มาเรีย แมนดาลา ก็มักจะอยู่ทำงานคนเดียวหลังจากห้องสมุดปิดแล้ว


 


มีอยู่หลายครั้งที่เธอจะได้ยินเสียงผู้หญิงฮัมเพลงในลำคอ หรือร้องเพลง แต่เมื่อไปค้นดูรอบๆอาคารก็ไม่พบใครเลย แมนดาลายืนยันว่าเธอไม่รู้สึกหงุดหงิดกับเสียงเพลงดังกล่าวเลย แต่มีเหตุการณ์ครั้งหนึ่งซึ่งทำให้เธอตกใจกลัวมาก วันนั้นเธอกำลังอยู่คนเดียวในห้องสมุด และกำลังดื่มกาแฟอยู่ เมื่อเธอสังเกตเห็นว่า ไฟบนเครื่องต่อโทรศัพท์ของห้องสมุดหลายดวงกำลังติดอยู่ ซึ่งแสดงว่ามีการใช้สายกัน โทรศัพท์ดังกล่าวไม่มีเสียงดังกริ๊งและไม่มีใครอยู่ในห้องสมุดแล้ว แมนดาลาลองยกโทรศัพท์เครื่องหนึ่งขึ้นฟัง ก็ไม่มีใครพูดอยู่ในโทรศัพท์เลย

ผู้อำนายการห้องสมุดนี้คนก่อนคือ เจรัลตีน เบอร์แดนเล่าว่า ในขณะที่เสียงและเหตุการณ์เหล่านี้ยังเกิดขึ้นมาจนทุกวันนี้ แต่รายงานเกี่ยวกับวิญญาณครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน 1989 เมื่อเด็กชายอายุ3ขวบคนหนึ่งกับแม่และพี่ชาย ได้เข้าไปในห้องสมุดแห่งนี้ตอนบ่ายๆ ในขณะที่แม่ของเขากำลังเช็คหนังสือที่จะขอยืมออกไปจากห้องสมุดอยู่ตรงเคาวน์เตอร์นั้น เด็กชายผู้นี้ก็ไปเดินเล่นอยู่ตรงประตูของห้องอ่านหนังสือ (ซึ่งเคยเป็นห้องกินข้าวในสมัยก่อน) เขาตะโกนเรียกมารดาในขณะที่มองจ้องเข้าไปในห้องนั้น แม่ของเด็กจึงเดินเข้ามาหา แล้วทั้งสองก็เดินเข้าไปในห้องนั้น เด็กคนนี้ก็ชี้ไปที่เตาผิงไฟและบอกว่า "นั่นไงแม่ นั่นไง" ทั้งๆที่ไม่มีใครอยู่ที่นั่นเลย เมื่องมารดาถามว่าเขาเห็นอะไรเค้าก็ชี้ไปที่นั่นอีกแล้วบอกว่า "สุภาพสตรี" มารดาผู้นี้รายงานว่า เกิดความรู้สึกหวาดๆขึ้นมาและเย็นวาบไปทั้งตัวจนต้องรีบออกจากห้องนั้นทันที ภาพที่เด็กคนนี้เห็นเพียงคนเดียวนั้นเป็นสตรีผมสีดำ สวมชุดยาวถึงพื้นเด็กชายผู้นี้บอกกับมารดาว่า เขาพูดสวัสดีกับเธอ แต่เธอไม่ตอบอะไร บรรดาตำรวจของสถานีตำรวจในเมืองนี้ก็รู้เรื่องราวเกี่ยวกับวิญญาณหญิงสาวผู้นี้เป็นอย่างดี หัวหน้าตำรวจคนก่อนคือ จอห์น แมดดาลูน่า เล่าว่าปี 1950 เมื่อเขาเข้าไปทำงานใหม่ ได้ออกเดินตรวจยามกับจ่าอีกคนหนึ่ง ตอนนั้นเป็นเวลาเที่ยงคืน เขาได้เดินไปตรวจดูว่าห้องสมุดใส่กลอนหรือล็อคประตูดีหรือเปล่า แล้วฉายไฟสาดเข้าไปทางประตูหน้าก็สังเกตเห็นอะไรเคลื่อนไหวอยู่ในห้องสมุด และเมื่อเล็งไฟฉายเข้าไปตรงหน้าต่าง ก็เห็นร่างของสตรีผู้นี้อีก แต่สักประเดี๋ยงหนึ่งเธอก็หายวับไป เมื่อบอกเรื่องนี้ให้จ่าที่ไปด้วยทราบเขาก็บอกว่าไม่ต้องวิตกอะไรหรอก เพราะมันเป็นเพียงวิญญาณที่เขาเองก็เคยเห็นมาหลายครั้งแล้ว




เมื่องห้องสมุดแห่งนี้เป็นที่รับรู้กันว่ามีวิญญาณสิงอยู่ จึงไม่แปลกอะไรที่จะต้องมีนักพิสูจน์หรือนักจับผีเข้าไปสำรวจดูในปี 1936 ได้มีคณะสืบสวนพลังจิตพิเศษชุดหนึ่ง มีเอ็ดและลอร์เรน วอร์เรนเป็นผู้นำ ลอร์เรนนั้นเชื่อว่าตนมีตาทิพย์ ได้รายงานว่าตนรู้สึกว่ามีกระแสของวิญญาณที่สิงอยู่ในอาคารนี้เมื่อก้าวไปในอาคารและเธอได้ชี้จุดเหล่านั้นให้เห็น รวมทั้งยังได้บรรยายลักษณะของฟิลลิส ปาร์เกอร์ ได้อย่างถูกต้องด้วย เมื่อวันที่ 29 มกราคม 1978


นักวิจัยทางด้านเรื่องลึกลับชื่อ นอร์ม ฌกธิเอร์ ได้พยายามจะบันทึกหลักฐานเกี่ยวกับคลื่นเสียงอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งอาจจะมีอยู่ในห้องสมุดนี้ เขาได้นำเอาอุปกรณ์ที่ใช้บันทึกอันทันสมัยต่างๆ และใช้เทปม้วนใหม่ที่ปิดประทับไว้อย่างดีจากผู้สื่อข่าวท้องถิ่น การใช้เครื่องบันทึกเสียงตามจุดต่างๆตลอดทั้งคืนโดยโกธิเอร์กับผู้สื่อข่าวอีกหลายคนได้ผลการบันทึกเสียงไว้อย่างน่าพอใจ เช่น เสียงเฟอร์นอเจอร์เคลื่อนไหว เสียงจานและชามกระทบกัน และเสียงผู้ชายพูดที่ฟังไม่ถนัดนัก ยกเว้นคำว่า "ได้โปรดเถอะ (please)" ผู้สื่อข่าวทั้งหมดยอมรับว่าพวกตนไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยในระหว่างการอัดเทป จะมาได้ยินก็ตอนนำเทปมาเปิดในภายหลังเท่านั้น


 


 


เจ้าหน้าที่ของห้องสมุดในปัจจุบัน 2 คน คือ แพม แคลนซค่ กับ บรูคส์ มูลเลน เว่าว่า วิญญาณที่นี่มักจะทำเรื่องยุ่งๆให้กับระบบคอมพิวเตอร์ของห้องสมุดอยู่บ่อยๆ ทำให้เจ้าหน้าที่คิดว่าฟิลลิสอาจจะไม่ค่อยชอบการนำเอาเทคโนโลยีที่ทันสมัยไปใช้ในบ้านของเธอ พวกเขาคิดว่าบางทีฟิลลิสอาจจะใช้พลังของเธอทำให้อุปกรณ์ต่างๆที่คณะผู้ที่อยากจะพิสูจน์นำเข้าไปในอาคารหลังนี้ไม่ทำงานได้




เมื่อวันที่ 7 เมษายน 1995 คณะจับผีอีกชุดหนึ่งนำโดย แรนดอล์ฟ ดับลิว.ลีแบ็ค ร่วมกับคณะผู้เกี่ยวข้องอีกหลายคน ราวทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วย ได้นำอุปกรณ์ตรวจจับกระแสไฟฟ้าและกล้องถ่ายรูปเข้าไปสำรวจและถ่ายรูปในอาคารแห่งนี้ ซึ่งคณะผู้ร่วมทีมหลายคนมีความรู้สึกเย็นยะเยือกในบางจุด แต่เมื่อนำอุปกรณ์ตรวจจับกระแสไฟฟ้าเข้าไปวัดดู ก็ไม่ได้ผลอะไร แต่เมื่อเวลาตีสอง ก็มีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นเมื่อกล้องถ่ายรูปที่อยู่ในมือของลีเบ็คเกิดถ่ายรูปได้เองติดต่อกัน แลัมีแฟล็ชวูบวาบจนกระทั่งได้หมดม้วน จากการเปิดหล้องออกมาตรวจดู ประกฏว่าถ่านไฟระเบิด ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้ เนื่องจากเป็นถ่านอัลคนไลน์อย่างดีก้อนใหม่




แต่ยังไง ห้องสมุดผีสิงที่เมืองเบอร์นาร์ดสวิลล์แห่งนี้ก็ยังคงมีเหตุการณ์ประหลาดเกิดชึ้นเป็นประจำ ห้องสมุดอย่างนี้คงจะไม่มีใครกล้าเข้าไปนั่งหลับนานๆ เพราะหวาดเสียวกับวิญญาณของฟิลลิปนั่น


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์