ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อกับข้อมูลใหม่ที่ได้รับมาจาก น.ส.บุญล้อม กานต์ศักดิ์สราญ ผู้ช่วยผู้อำนวยการบริหารสหทัยมูลนิธิ
ได้บอกว่า "กลุ่มเด็กที่ท้องก่อนแต่งจะเป็นกลุ่มเด็กเรียน" ถือได้ว่าเป็นข้อมูลใหม่ที่ต้องทำให้ตกตะลึง เพราะที่ผ่านมากลุ่มเด็กเรียน ไม่เที่ยว เชื่อฟังพ่อแม่ มักจะอยู่ในกลุ่มที่ไม่เสี่ยงต่อพฤติกรรมมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร
ข้อมูลนี้สืบเนื่องจากนักสังคมสงเคราะห์ของสหทัยมูลนิธิได้จัดทำโครงการช่วยเหลือบิดามารดานอกสมรส
แล้วเก็บข้อมูลตามโรงพยาบาลต่างๆ เกี่ยวกับแม่ที่ตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ หรือท้องไม่พร้อม พบว่า แนวโน้มล่าสุด 70% เด็กที่ท้องไม่พร้อมจะเป็นเด็กที่รักการเรียนหนังสือ ตั้งใจเรียน และพ่อแม่ปิดหูปิดตาไม่ให้เด็กรับรู้เรื่องเพศสัมพันธ์ใดๆ ทั้งสิ้น น.ส.บุญล้อมบอกว่า กลุ่มเด็กที่เสี่ยงต่อการมีครรภ์ มักจะไม่ใช่กลุ่มที่มีประสบการณ์ ยิ่งเป็นกลุ่มที่เรียนหนังสืออย่างเดียว เลิกเรียนกลับบ้าน ไม่เถลไถล พ่อแม่คุม จะเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์ เพราะไม่รู้จักการปฏิเสธ พ่อแม่ปิดหูปิดตาเรื่องเพศสัมพันธ์ พอเด็กจะถามเรื่องประเภทนี้พ่อแม่ก็จะดุด่าว่าตี หรือไม่สอน บอกให้ลูกไปพูดเรื่องอื่นแทน เด็กก็จะไม่เข้าใจ ไม่ได้ข้อมูลที่ถูกต้องกลับมา
"เมื่อไม่รู้ หากเกิดเหตุการณ์มีแฟน อาจทำให้ไม่กล้าบอกพ่อแม่ แอบคบกันเงียบๆ เมื่อพลาดท้องขึ้นมาจะทำให้ไม่กล้าบอก กลัวโดนดุด่าว่าตี หันหน้าพึ่งผู้ใหญ่ไม่ได้ ทำให้ปรึกษาเพื่อน ปรึกษาแฟน สุดท้ายทางออก คือการทำแท้ง หรือหนีออกจากบ้านไป เพราะไม่กล้าสู้หน้าพ่อแม่ ซึ่งเด็กเหล่านี้จะอยู่กับความทุกข์ของตัวเอง ส่งผลให้ฆ่าตัวตายได้"
ปัญหาที่เกิดขึ้นกับเด็กเรียนเป็นปัญหาใหญ่มาก น.ส.บุญล้อมบอกอีกว่า ที่เด็กไม่กล้าบอกพ่อแม่ เพราะรู้สึกว่าตัวเองทำผิดใหญ่หลวง
พ่อแม่เคยตั้งความหวังไว้ว่าเป็นเด็กดี ตั้งใจเรียน ไม่เถลไถล เด็กจะรู้ตัวว่าทำผิด แต่ก็ไม่กล้าบอกใคร จึงต้องบอกเพื่อนแทน ทางเลือกของเด็ก คือถ้าไม่บอกพ่อแม่ก็ต้องทำแท้ง ขับเลือดเอง พ่อแม่ก็จะรู้เป็นคนสุดท้าย
"เมื่อเด็กผ่านกระบวนการเหล่านี้เมื่อไร ถ้าเด็กไม่ได้รับการช่วยเหลือ เยียวยา อาจทำให้เด็กชอกช้ำ มีบาดแผลในใจมากขึ้น ลดคุณค่าในตัวเองลง รู้สึกว่าเป็นคนเลวไปเลยก็ได้ ซึ่งสิ่งสำคัญที่สุดที่ทำให้เด็กลุกขึ้นใหม่ได้ คือ โอกาส พ่อแม่ต้องนับหนึ่งใหม่กับเด็ก เปิดให้เด็กได้มีช่องว่างผ่านปัญหาให้ได้ และมีกระบวนการเยียวยาจิตใจเด็กให้ฝ่าฟันปัญหาให้ได้ โดยมีผู้ใหญ่อยู่คอยช่วยเหลือใกล้ๆ"
ที่สำคัญ "พ่อแม่" เป็นกำลังสำคัญหลักอย่างมาก
"สิ่งที่เกิดขึ้นกับเด็ก เพราะพ่อแม่มีความกลัว อยากให้ลูกมีอนาคตที่ดี แต่ปิดหูปิดตาลูก ซึ่งในยุคนี้พ่อแม่ต้องเปิดใจกว้างให้เด็กได้เรียนรู้เรื่องเพศศึกษา รู้จักถุงยางอนามัย รู้จักรักตัวเอง ให้เด็กได้เรียนรู้ว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองต้องคิดหาทางรอดอย่างไร โดยเฉพาะทักษะการปฏิเสธ ต้องเรียนรู้เรื่องนี้เป็นอย่างมาก และทำความรู้จักเพื่อนของลูกไม่ว่าจะเป็นผู้ชาย ผู้หญิง แต่อย่าไปก้าวก่าย รวมทั้งเมื่อลูกทำผิดพ่อแม่อย่าหยิบสิ่งที่ตัวเองกังวลมาดุด่าว่าลูก ให้หาวิธีคุยที่สร้างสรรค์มากกว่าใช้อารมณ์คุย" ผู้ช่วยผู้อำนวยการบริหารสหทัยมูลนิธิบอกวิธี
ไม่ว่าจะเป็นเด็กเรียน เด็กไม่เรียน ไม่ว่าจะลงท้ายว่าเด็กอะไร เด็กทุกคนย่อมมีความสำคัญและมีความหมายกับครอบครัว ดังนั้น การสอน และเลี้ยงเขาด้วยหัวใจน่าจะเกิดสิ่งที่ดีกว่าไม่สอนอะไรเลย