อีเมลขยะ ภัยเงียบ..ปล่อยคาร์บอน 17 ล้านตันต่อปี
ในความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์ ต้นตอของปัญหาโลกร้อนที่นึกถึงได้ทันที คงต้องยกให้กับโรงงานอุตฯ ท่อไอเสียจากรถยนต์ และเครื่องใช้ไฮเทคนานาชนิด ซึ่งเป็นตัวการของการปล่อยก๊าซพิษ "คาร์บอนไดออกไซด์"
ออกไปทำลายชั้นบรรยากาศของโลกจนถึงขั้นที่ผู้เกี่ยวข้องหลายหลายฝ่าย รวมถึงเวทีประชุมระดับโลกหลายเวทียกเป็นประเด็นหลักที่ต้องเร่งหาทางออก หากแต่ผลวิจัยฉบับล่าสุดจากองค์กรด้านสภาพภูมิอากาศ "ไอซีเอฟ อินเตอร์เนชั่นแนล" และผู้พัฒนาโซลูชั่นป้องกันไวรัส "แมคอาฟี" กำลังชี้ให้เห็น "ภัยเงียบ" หน้าใหม่ที่กำลังทำสถิติไต่อันดับตัวการของสาเหตุโลกร้อนอันดับต้นๆ ของโลกในเร็ววันนี้
'สแปม'ภัยเงียบหน้าใหม่
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า อีเมลขยะหรือ "สแปม คือภัยเงียบที่กำลังจะกล่าวถึง โดยจากการศึกษาผลข้างเคียงจากการปล่อยสแปมพบว่า จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ชนิดนี้ใช้พลังงานโดยรวมสูงกว่า 3.3 หมื่นล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมงทุกปี ซึ่งเป็นปริมาณกระแสไฟที่เพียงพอต่อการใช้งานในบ้านมากกว่า 2.4 ล้านครัวเรือน โดยผลจากการติดตามปริมาณคาร์บอนที่เกิดจากการใช้อีเมลขยะ (คาร์บอน ฟุตพรินท์ ออฟ อีเมล สแปม) ประเมินได้ว่า ปัจจุบันมีสแปมถูกส่งไปทั่วโลกราว 62 ล้านล้านฉบับทุกปี ซึ่งทั้ง"ไอซีเอฟ อินเตอร์เนชั่นแนล" และ "แมคอาฟี" ร่วมกันทำวิจัยพบว่า ปริมาณสแปมดังกล่าวเป็นต้นตอของการปล่อยก๊าซพิษคาร์บอนไดออกไซด์สูงถึงกว่า 17 ล้านตัน ในจำนวนนี้เป็นพลังงานที่ต้องสูญเสียไปกับการอ่านอีเมล และลบทิ้งสแปมราว 80% ของพลังงานทั้งหมด นอกจากนี้ผลการศึกษาดังกล่าวยังพบว่า ผู้ใช้งานในองค์กรโดยเฉลี่ยเป็นกลุ่มที่สร้างคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 131 กิโลกรัมทุกปี ซึ่งในจำนวนนี้มีส่วนที่เกี่ยวข้องกับสแปมถึง 22%
กำจัดรถ=กำจัดสแปม
ไอซีเอฟระบุว่า ตัวกรองสแปมสามารถลดสแปมที่ไม่ต้องการได้ 75% หรือเทียบได้กับการนำรถยนต์ที่เป็นต้นตอของการปล่อยก๊าซพิษตัวเดียวกัน ออกจากถนนได้ถึง 2.3 ล้านคัน อย่างไรก็ตาม ไอซีเอฟเชื่อว่า แม้การใช้ตัวกรองสแปมจะช่วยลดการสูญเสียพลังงานได้มีประสิทธิภาพ หากแต่การกำจัดต้นตอของการปล่อยอีเมลไม่พึงประสงค์น่าจะให้ผลในระยะยาวที่ดีกว่า รายงานดังกล่าวได้ยกตัวอย่างกรณีศึกษาของ "แมคโคโล (MaColo)" บริษัทรับฝากเว็บไซต์ในสหรัฐฯ ซึ่งว่ากันว่าเป็นเว็บ โฮสติ้งที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสแปมเมอร์จำนวนมาก โดยหลังจากที่ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต 2 รายได้ทำการยกเลิกการเชื่อมต่อระบบกับเว็บของบริษัทดังกล่าว ส่งผลให้ปริมาณสแปมทั่วโลกลดลงถึง 70% แมคอาฟี ระบุว่า แม้จะยับยั้งได้แค่ชั่วคราวเท่านั้น แต่ในเมื่อการกำจัดสแปมเทียบได้กับการนำรถยนต์ออกจากท้องถนนได้ถึง 2.2 ล้านคัน ฉะนั้นการจัดการกับสแปมก็ควรเป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญรณรงค์ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนด้วยเช่นกัน
นายริชี เจนนิงส์ นักวิเคราะห์อิสระด้านสแปม หนึ่งในผู้ร่วมทีมทำรายงานในครั้งนี้ ระบุว่า สถิติดังกล่าวเป็นข้อมูลที่คิดจากการใช้พลังงานส่วนเกินเพื่อจัดการกับสแปม
'บอต'ตัวการสำคัญ
อย่างไรก็ตาม ประเด็นฮอตเกี่ยวกับสแปมได้ถูกรายงานตามกันมาติดๆ โดยล่าสุดบริษัทโซลูชั่นด้านความปลอดภัย "ไซแมนเทค" ได้เปิดเผยรายงานประจำปีเกี่ยวกับภัยคุกคามบนอินเทอร์เน็ตที่จัดทำขึ้น 2 ครั้งต่อปี พบว่า ปริมาณสแปมเพิ่มขึ้นถึง 192% โดยเครือข่ายบอต (โปรแกรมอัตโนมัติสำหรับทำหน้าที่อย่างใดอย่างหนึ่งบนอินเทอร์เน็ต) เป็นต้นตอของการปล่อยอีเมลไม่พึงประสงค์ดังกล่าวมากกว่า 90% นายเจนนิงส์ บอกว่า แม้ทั้งแมคอาฟี และไซแมนเทค จะใช้กลวิธีในการวัดปริมาณสแปมแตกต่างกัน แต่ทั้ง 2 บริษัทก็เห็นพ้องต้องกันถึงสถิติของเครือข่ายบอตที่เกิดขึ้น "สแปมส่วนใหญ่ถูกส่งผ่านโดยโปรแกรมบอตเน็ต ซึ่งเราจะได้รับหนอนร้ายคอนฟิกเกอร์ (Conficker) เข้ามาสร้างเครือข่ายมหัศจรรย์ที่เชื่อได้เลยว่า มันจะเป็นโปรแกรมชั่วร้ายที่ใช้กระหน่ำส่งสแปมออกไปยังคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆ" นายเจนนิงส์กล่าว ขณะที่สถานการณ์อีเมลขยะล่าสุดเดือนเม.ย. "ไซแมนเทค" พบว่า การปิดตัวลงของแมคโคโล ส่งผลกระทบต่อปริมาณอีเมลขยะในภาพรวมลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแม้ปริมาณอีเมลขยะจะเพิ่มขึ้น แต่ยังไม่เท่ากับในช่วงก่อนหน้าที่จะมีเหตุการณ์ดังกล่าว