สนามรบอยู่ในกายเราเอง
มรรค..ในคำสอนของพระพุทธเจ้าในครั้งก่อน มรรคในยุคปัจจุบัน
ไม่ใช่อันเดียวกันหรือ ผู้ที่ดำเนินทำไมแตกต่างกัน กรรมฐาน 5 ยังมีอยู่
เหมือนกัน ทำไมการดำเนินในยุคนั้น มีผลมีอานิสงส์มากมาย ทำไมยุคนี้
ไม่มีอานิสงส์ไม่มีผล หรือว่าเราเป็นคนไม่มีค่า ตีราคาไม่ได้ หรือเราเป็น
คนมีค่า เมื่อเราเข้ามาดำเนินตามคำสอนของพระพุทธเจ้าต้องเห็นผล เวลา
เราพิจารณา คือทำต่างวาระกับการบริกรรม ถ้าบริกรรมไปแล้วจิตไม่นิ่ง
เราก็ลองมาพิจารณาดู พิจารณากรรมฐาน 5 หรือพิจารณาอสุภะกรรมฐาน
มันเป็นเรื่องในกายทั้งหมดไม่ใช่นอกกาย ตั้งแต่ตายวันหนึ่ง สองวัน เรา
ก็เห็นกันอยู่ คนตายเจ็บปวดไหม มีญาติพี่น้องไหม หิวไหม คนตายหิวหรือเปล่า
มันไม่หิวนะ ถึงมันตาย เอาอะไรมาให้กินไม่กินทั้งนั้น ถ้ายังหิวอยู่ก็ยังไม่ตาย
ยังมีเจ็บมีปวดอยู่ คนที่ตายเค้าไม่เจ็บไม่ปวด ฉะนั้นเมื่อเราวางรากฐานตัว
ของเราลงไป นี่แหละคือ..."สนามรบ"...
ยกเอากายของเราเป็นเครื่องสนามรบ ไม่ว่าจะศึกษาปฏิบัติหรือโลก
ที่เราไม่เข้าใจบางสิ่งบางอย่าง เพราะอะไร จิตใจเราไม่ฝักใฝ่ เราขาดการเอา
ใจใส่กับตนเอง การศึกษาเรื่องนั้นๆ ใจของเราเป็นใจที่แสนรู้ ถ้าเราเอาใจใส่
ถ้าเราไม่เข้าใจไม่มีในโลก เพราะใจเป็นใจที่แสนรู้ด้วยกันทั้งหมด
เราอยากรู้เรื่องอะไร เราก็เข้าไปศึกษาเรื่องนั้น คนอื่นที่มันศึกษาเรื่องนั้น
เป็นคนมาจากที่ไหน เราไม่เข้าใจ นั่นคือการพิจารณาแต่ละเรื่องแต่ละอย่าง
ถ้าเรารู้จักต้นเหตุของการเกิดนั้นๆ มันก็เข้าใจทันที....
พระอาจารย์สาคร ธัมมาวุโธ....