'ฝนตกถนนลื่น' เหตุผลเดิมๆ ที่ยกมาอ้างกันเมื่อเกิดอุบัติเหตุในช่วงหน้าฝน ซึ่งนอกจากจะทำให้เสียเวลาแล้ว บางครั้งยังทำให้สูญเสียชีวิตและทรัพย์สินด้วย
ดังนั้น สัปดาห์นี้ 'รู้ไว้ใช่ว่า' มีวิธีการขับขี่ให้ปลอดภัย ในช่วงหน้าฝนมาฝาก ถือเป็นการเตือนสติก่อนสตาร์ท สำหรับผู้ที่ชอบการขับรถเที่ยวเป็นชีวิตจิตใจ เริ่มตั้งแต่ 'การตรวจสภาพรถ' ทั้งระบบสัญญาณไฟ ไฟเลี้ยว ไฟหน้า ไฟฉุกเฉิน ไฟหลัง และไฟตัดหมอก รวมถึงอุปกรณ์ปัดน้ำฝนให้อยู่ในสภาพใช้งานได้ดี
เช็คลมยาง โดยให้มีแรงดันลมมากกว่าปกติ 2-3 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว
เพื่อให้หน้ายางแข็ง และมีความสามารถในกรรีดน้ำได้ดี เลือกใช้ยางที่มีดอกยางละเอียด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนน และต้องไม่ลืมตรวจสภาพเบรก ให้สามารถหยุดรถได้ทันท่วงที หากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน การเว้นระยะห่าง ควรเว้นระยะห่างจากคันหน้าให้มากกว่าปกติ 10 - 15 เมตร หลีกเลี่ยงการเปิดไฟกระพริบโดยไม่จำเป็น และควรเปิดไฟส่องสว่างแบบต่ำ เพื่อให้มองเห้นเส้นทางที่ชัดเจน ที่สำคัญต้องไม่ขับรถด้วยความเร็วสูง รวมถึงไม่เปลี่ยนช่องทางอย่างกะทันหัน
ระหว่างการขับขี่ หากฝนตกลงมาควรปรับระดับความเร็วของที่ปัดน้ำฝนให้สัมพันธ์กับสภาพฝนที่ตกลงมา
พร้อมทั้งเปิดระบบไล่ฝ้าที่กระจกหลัง รวมทั้งควรเปิดไฟตัดหมอกในช่วงกลางคืนที่ฝนตกหนักหรือสภาพถนนเฉอะแฉะ เพื่อลดการสะท้อนของไฟหน้ารถกับน้ำบนถนนจะช่วยมองเห็นเส้นทางชัดเจนขึ้น กรณีที่ทัศนวิสัยไม่ดี ฝนตกหนักจนมองรถ หรือถนนด้านหน้าไม่เห็น อย่าไปเสียดายเวลา จอดแวะริมทางสักพัก รอให้ฝนซา การมองเห็นเส้นทางที่ชัดเจนขึ้น แล้วจึงเดินทางต่อ
เมื่อเจอถนนที่เป็นแอ่งกระทะ มีน้ำท่วมขัง ให้เพิ่มความระมัดระวังและใช้ความเร็วต่ำ
ไม่ควรเหยียบเบรกกะทันหันเพื่อให้รถหยุดในทันที เพราะอาจจะทำให้รถเสียการทรงตัวและแฉลบลงข้างทางได้ ควรค่อยๆถอนคันเร่งเพื่อเบาเครื่องและลดความเร็วของรถลง รวมทั้งพยายามบังคับพวงมาลัยให้มั่นคงและขับในช่องทางของตนเอง หากต้องขับผ่านบริเวณที่มีน้ำท่วมขัง ให้ค่อยๆ แตะเบรกย้ำๆ เพื่อไล่ความชื้นออกจากผ้าเบรก ซึ่งจะช่วยให้เบรกทำงานได้ดีขึ้น
ทั้งนี้และทั้งนั้น สิ่งที่สำคัญคือ 'สติ' และ 'ความไม่ประมาท' เพื่อให้การขับรถเที่ยวในช่วงหน้าฝนนี้สนุก ปลอดภัย แบบไร้กังวล