ขุนช้างมีเฮ!พบคาเฟอีน บำบัดอาการศีรษะล้าน

นักวิจัยเผยกาแฟอาจเป็นทางออกใหม่สำหรับผู้ชายหัวล้าน หลังพบคาเฟอีนช่วยกระตุ้นการเติบโตของเซลล์ต่อมผมบนหนังศีรษะสำหรับผู้ชายที่ผมเริ่มบางลง

การค้นพบนี้อาจเป็นวิธีบำบัดใหม่สำหรับอาการที่เกิดกับครึ่งหนึ่งของผู้ชายอังกฤษอายุ 50 ปีขึ้นไป

ผู้ชายอังกฤษไม่มีความสุขมากที่สุดที่ต้องกลายเป็นคนผมบาง แต่กระดากใจเกินกว่าจะหาทางแก้ไข กว่าครึ่งบอกว่า อาการดังกล่าวทำให้รู้สึกตัวเองว่าแก่และไม่มีเสน่ห์ดึงดูดเพศตรงข้าม

โดยดร.โทเบียส ฟิสเชอร์แห่งมหาวิทยาลัยเจนาในเยอรมนี ที่ตีพิมพ์ในอินเตอร์เนชั่นแนล เจอร์นัล ออฟ เดอร์มาโทโลจี้ พบว่าคาเฟอีนช่วยสกัดกั้นปฏิกิริยาเคมีที่เป็นตัวการทำลายเซลล์ต่อมผม

คนไข้ต้องดื่มกาแฟถึง 60 แก้วต่อวัน เพื่อให้ได้คาเฟอีนปริมาณมากพอไปหล่อเลี้ยงเซลล์ต่อมผมบนหนังศีรษะ อย่างไรก็ตาม บริษัทเครื่องสำอางเยอรมนีได้ผลิตสารละลายที่อุดมด้วยคาเฟอีนซึ่งสามารถนำไปชโลมหนังศีรษะได้

เมื่อเซลล์ต่อมผมได้รับ dihydrotestosterone (DHT) ซึ่งเป็นสารเคมีที่ฮอร์โมนเพศชายเทสโทสเตอโรนผลิตออกมามากเกินไป ทำให้เซลล์ต่อมผมฝ่อ เส้นผมจึงมีขนาดบางลงและหลุดร่วงเร็วกว่าปกติ

ผู้ชายที่มีฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนสูง มีแนวโน้มมากขึ้นที่จะศรีษะล้าน โดยเฉพาะหากมีคนในบ้านศีรษะล้านอยู่แล้ว

มีการคิดค้นเวชภัณฑ์รักษาอาการศีรษะล้านมากมาย โดยส่วนใหญ่ทำงานด้วยการหยุดยั้งไม่ให้ DHT เข้าถึงเซลล์ต่อมผมและสกัดกั้นการเติบโตของเส้นผม แต่ปัญหาก็คือ ต้องใช้นานถึงสองปีจึงจะเห็นผล

ผู้ชายบางคนเลือกปลูกผมแทน แต่วิธีการนี้เน้นหนักการปลูกถ่ายเซลล์ต่อมผมมากกว่าการปลูกถ่ายเซลล์นับล้านเซลล์

ได้พัฒนาเทคนิคในการนำตัวอย่างผมจากศีรษะมาผลิตเซลล์แรกเริ่มที่เรียกว่า dermal papilla ที่จะเจริญเติบโตเป็นเซลล์ต่อมผมต่อไป แล้วนำกลับไปปลูกบนหนังศีรษะ แต่ท่ามกลางวิทยาการก้าวหน้าเหล่านี้ ดูเหมือนโลชั่นที่พัฒนาจากคาเฟอีนจะเป็นวิธีแก้ปัญหาศีรษะล้านที่มีต้นทุนถูกกว่าแต่มีประสิทธิภาพทัดเทียมกัน

โดยการตัดชิ้นเนื้อจากหนังศีรษะผู้ชายที่เริ่มมีปัญหาศีรษะล้าน 14 คน แล้วสกัดเซลล์ต่อมผมออกมาใส่ในหลอดทดลองที่มีสารละลายที่มีคาเฟอีนระดับต่างๆ กัน และทิ้งไว้ 8 วันเพื่อดูการเติบโต

คาเฟอีนช่วยกระตุ้นให้เส้นผมยาวขึ้น 33-40% ขณะที่หลอดทดลองที่บรรจุเทสโทสเตอโรนนั้น เส้นผมเติบโตช้ากว่า โดยนักวิจัยเชื่อว่า คาเฟอีนส่งผลกับเซลล์ต่อมผมแบบเดียวกับที่มีฤทธิ์ต่อต้านการทำลายล้างของดีเอชที

ขอขอบคุณข้อคิดนานาสาระโดย: ผู้จัดการออนไลน์