แน่ใจหรือว่า คุณรู้จักแก่นของศาสนาพุทธ
1. แก่นของพระพุทธศาสนา คือ อายตนะนิพพาน อันไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ขึ้นชื่อว่า "อายตนะ" ก็แสดงว่า สิ่งนั้นต้องมีอายตนะภายใน และอายตนะภายนอก
อายตนะภายใน ในโลก คือ กายหรือขันธ์ 5
อายตนะภายนอก ในโลก คือ บ้านช่อง ข้าวของ ฯลฯ
ในจักรวาลและในโลก สรรพสิ่งเหล่านี้ วิญญาณธาตุอันติดอวิชชา ดึงเอาธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ เข้ามาป็นปัจจัยร่วมสร้างให้เกิดขึ้น (ปฏิจจสมุปบาท) แต่ทุกสรรพสิ่งก็ต้อง เกิด แก่ เจ็บ ตาย ทั้งนั้น จึงเรียกว่า= ขันธ์ 5 และทุกสรรพสิ่งล้วนเป็นอนัตตา(ไม่เที่ยง ทุกข์ แปรปรวนเป็นธรรมดา)
แต่ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ทางอันนำไปสู่ อายตนะนิพพาน อัน ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย หรือ ทางที่ไปสู่สิ่งที่เที่ยง ไม่ทุกข์ ไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา
ในปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร พระอวโลกิเตศวร ตรัสสอน พระสารีบุตรว่า
" ธรรมกาย ก็คือปรัชญาปารมิตาซึ่งเป็นสภาวธรรมแห่งพระตถาคตตรัสรู้ ก็คืออายตนะนิพพานนั้นเอง ย่อมปราศจากการมาในอดีต ฤาการไปในอนาคต แลในปรัตยุบันกาลเล่าก็ปราศจากการตั้งอยู่มั่นคง "
2. อายตนะนิพพาน หรือธรรมกาย เป็นอย่างไร?
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๓
ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค
มหาวรรค ญาณกถา
[๒๘> ควรรู้ยิ่งว่า ความไม่เกิดขึ้นเป็นนิพพาน ความไม่เป็นไปเป็นนิพพาน ความไม่มีเครื่องหมายเป็นนิพพาน ความไม่ประมวลมาเป็นนิพพาน
ความไม่สืบต่อเป็นนิพพาน ความไม่ไปเป็นนิพพาน ความไม่บังเกิดเป็นนิพพาน ความไม่อุบัติเป็นนิพพาน ความไม่เกิดเป็นนิพพาน ความไม่แก่
เป็นนิพพาน ความไม่ป่วยไข้เป็นนิพพาน ความไม่ตายเป็นนิพพาน ความไม่เศร้าโศกเป็นนิพพาน ความไม่รำพันเป็นนิพพาน ความไม่คับแค้นใจเป็นนิพพาน ฯ
.....................................................................................
ความไม่เกิด ความไม่แก่ ความไม่เจ็บ ความไม่ตาย = ความไม่บังเกิดเป็นนิพพาน ความไม่อุบัติเป็นนิพพาน ความไม่เกิดเป็นนิพพาน ความไม่แก่
เป็นนิพพาน ความไม่ป่วยไข้เป็นนิพพาน ความไม่ตายเป็นนิพพาน ความไม่เศร้าโศกเป็นนิพพาน
ความไม่เกิด ความไม่แก่ ความไม่เจ็บ ความไม่ตาย มีอายตนะด้วย เรียกว่า "อายตนะนิพพาน"
พระผู้มีพระภาค ยืนยันว่า อายตนะนิพพานนั้นมีอยู่:
"ภิกษุทั้งหลาย อายตนะ (นิพพาน) นั้นมีอยู่. ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ
โลกนี้ โลกหน้า พระจันทร์และพระอาทิตย์ทั้งสอง ย่อมไม่มี ในอายตนะนั้น.
ภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่กล่าวซึ่งอายตนะนั้นว่า เป็นการมา เป็นการไป เป็นการตั้งอยู่ เป็นการจุติ เป็นการอุบัติ. อายตนะนั้นหาที่ตั้ง อาศัยมิได้ มิได้เป็นไป
หาอารมณ์มิได้ นั้นแลเป็นที่สุดแห่งทุกข์."