ความรัก เมื่อต่างคนต่างเปลี่ยน
เคยเกิดคำถามขึ้นระหว่างเรากับคนรักบ้างไหมว่า "ทำไมความรักของเราเริ่มไม่เหมือนเดิม" หลายปีที่ผ่านมา คนสองคนเริ่มต้นสร้างความรักขึ้นมาด้วยกัน ตอนที่รักมันคุกรุ่นอยู่ในใจ บางคนก็นึกไม่ออกหรอกว่า "เราสองคนจะเปลี่ยนไปได้ยังไง ในเมื่อเราต่างก็รักกันมากขนาดนี้" แต่สุดท้าย...คำถามที่ไม่เคยถูกตั้งสมมติฐานมาก่อน ก็แสดงตัวตนขึ้นมาสั่นคลอนจิตใจ
ความจริงที่ว่า...คนที่เปลี่ยนไปไม่ได้มีแค่คนเดียวนี่สิ ที่สร้างความเจ็บปวดยิ่งกว่ากรณีการถูกคนรักหักหลังเสียอีก เมื่อเราสองคน ต่างก็เปลี่ยนไป จะมีอะไรที่หนักหนาสาหัสยิ่งกว่านี้...คงไม่มีอีกแล้ว
การที่ตัวตนของเราค่อย ๆ เปลี่ยนไปทุกวัน เปลี่ยน...ทั้ง ๆ ที่ยังคบกัน เป็นความเจ็บปวดที่ไม่รู้จะบรรเทาให้เบาบางยังไงดี เวลาหันไปมองหน้าคนรัก...เห็นเขามองกลับมาด้วยท่าทางเฉย ๆ เป็นใครก็อ่อนใจ เป็นใครก็อดคิดไม่ได้ว่า "นี่เรายังรักกันอยู่หรือเปล่า" ชีวิตที่เคยสดใส ต้องมาคอยเป็นกังวลกับพฤติกรรมของคนที่เรารักว่าเขาไม่เหมือนเดิม มันทำให้หัวใจที่เคยเต็มไปด้วยชีวิตชีวา เหมือนถูกอะไรมาบีบเอาความชุ่มชื่นของชีวิตให้ค่อย ๆ หมดไป คบกันแบบนี้ไม่ใช่แค่เหนื่อยใจ...แต่มันจะทำให้ความผูกพันอ่อนแรงตามไปด้วย
ระยะเวลาที่คบกันก็มีส่วนทำให้สถานการณ์เปลี่ยนไป พูดง่าย ๆ ว่ายิ่งรู้จักและสนิทกันมาก ก็ยิ่งหมดความตื่นเต้นท้าทาย การรู้จักตัวตนของใครสักคนมาก ๆ ถ้ารู้จักใช้ประโยชน์ให้ถูกทาง ก็จะช่วยเรื่องความสัมพันธ์ได้มาก แต่คนส่วนใหญ่มักมองเป็นความน่าเบื่อ
"คุยกับแฟนแล้วน่าเบื่อ ฉันคุยกับคนอื่นสนุกกว่าตั้งเยอะ"
"มีแฟนก็เหมือนไม่มี...เฮ้อ...จะมีคนใหม่ไปเลยดีไหมนะเรา"
"ในเมื่อไม่ค่อยสนใจกันเหมือนเดิม...ก็ไม่รู้จะอยู่ไปทำไม"
"ก็ยังรักนะ แต่รู้สึกเหมือนเขาไม่ได้แคร์เราอีกแล้ว" ฯลฯ
ฉันเชื่อว่าจุดเปลี่ยนของทุกสิ่งทุกอย่าง เริ่มต้นที่ใจทั้งนั้นแหละ ถ้าใจเราเปลี่ยน...เวลาเรามองอะไร ความคิดที่เรามีต่อสิ่ง ๆ นั้นก็ย่อมเปลี่ยนไปด้วย จึงไม่แปลกเลย...ถ้าเรามองหน้าคนรักแล้วเรารู้สึกเหมือน ต่างคนต่างไม่ได้รักกัน เพราะใจเราเริ่มเปลี่ยนไปก่อนหน้านี้แล้ว เราเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อคนรักไปทีละนิด ๆ โดยที่บางครั้งเราก็ไม่รู้ตัวหรอก บางทีที่เราไปคาดหวังอะไรจากเขามาก ๆ แล้วเรา ไม่ได้อย่างที่หวัง ความรู้สึกที่มีต่อเขาก็เปลี่ยนเป็นแง่ลบ พอเราคาดหวังหลายครั้ง แล้วมันดันผิดหวังทุกที ความรู้สึกแง่ลบนั่นแหละที่เป็นเหมือนปิศาจคอยกล่อมเราว่า "เขาเปลี่ยนไปแล้ว"
คนเราชอบถือทิฐิมาวางอำนาจใส่กันชอบประชดกันและกัน ทั้ง ๆ ที่ใจจริงไม่ได้อยากทำให้อีกฝ่ายเสียใจหรอก แต่ทำไงได้...ก็ถ้าได้เอาคืนผ่านรูปแบบที่ทำให้เขาเสียใจดูบ้าง มันก็สะใจดี ผลที่ตามมาอาจได้ความ สะใจ แต่เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ อาจได้รับผลบางอย่างที่ทำให้ความสัมพันธ์ของคนสองคน เปลี่ยนไป ด้วยเช่นเดียวกัน อุตส่าห์คบกันมานานขนาดนี้...ถ้าจะยอมให้ความรักจบลงแบบไม่สวยงาม เราจะทนได้หรือ
คนเรามักมองข้ามความสำคัญของคนที่อยู่ใกล้ตัว วันนี้เราอาจยอมรับว่า "เราต่างคน ต่างเปลี่ยนไป" จริง แต่ถ้าพื้นฐานความรักที่มีต่อกันยังคงอยู่ เราจำเป็นที่จะต้องทำทุกวิถีทาง เพื่อประคับประคองความรักให้ไปรอดด้วยกัน อย่ายอมแพ้อะไรง่าย ๆ โดยเฉพาะเรื่องความรัก จงสู้ทุกวิถีทางจนกว่าจะหมดแรง ถ้าดูแววว่ามันเริ่มจะไม่ไหวจริง ๆ ก็ลองถามใจตัวเองดูอีกที หากถึงเวลาแล้วที่คนสองคนควรห่างกันสักพัก...เพื่อให้ได้ทบทวน ครุ่นคิด และตัดสินใจ การเปลี่ยนแปลงทุก ๆ ขั้นตอน...ไม่ได้มีแค่ด้านลบเสมอไป
บางขณะที่หัวใจเราร้อนรนมาก ๆ เราอาจต้องการเวลาพักหัวใจสักพัก แล้วให้ความเปลี่ยนที่เกิดขึ้น...ได้มีความยืดหยุ่น และมีเวลาให้คนที่เรารักได้หยุดทบทวน ถ้าที่สุดแล้วเรามั่นใจว่าคนสองคนยังรักกัน...ความเปลี่ยนแปลงที่เคยเปลี่ยนไปแง่ร้าย ก็จะเปลี่ยนกลับมาเป็นแง่ดีได้ไม่ยาก ขอเพียงคนสองคนเชื่อมั่นในการเปลี่ยนแปลงนั้น ๆ ก็พอ นาทีที่เหตุผลมีน้ำหนักเบากว่าความรู้สึก
ตอนที่เราตัดสินใจ รับรักใครสักคน เราใช้เหตุผลมากมาย เพื่อความมั่นใจว่าเราเลือกคบคนไม่ผิด เราใช้เวลาพิสูจน์และลองใจด้วยวิธีต่าง ๆ ก็เพื่อให้แน่ใจว่าถ้าคบกับเขาแล้ว เราจะมีความสุขที่สุด และที่ผ่านมามันก็เป็นอย่างนั้น คนสองคนมีความสุข คบกันด้วยความเข้าใจ ยิ่งนานวันเราต่างยิ่งรู้ใจกันมากขึ้น ฟังดูเหมือนทุกอย่างกำลังไปได้สวย ถ้าไม่มีเหตุการณ์ที่ว่า วันหนึ่ง...น้ำหนักของความรู้สึกของคนสองคนที่มีให้กันนั้นเริ่มไม่คงที่เสียแล้ว
หลายคนเมื่อคบกันไปนาน ๆ ...ก็เริ่มใช้เหตุผลในการอยู่ร่วมกันน้อยลง ในขณะที่อารมณ์ความรู้สึกลบ ๆ ถูกยกขึ้นมาเป็นข้ออ้างบ่อยขึ้น หลายๆ คู่ที่ทะเลาะกันซ้ำๆ เถียงกันแต่เรื่องเดิม ๆ มักจะทะเลาะกันแบบใช้อารมณ์เป็นใหญ่ ยิ่งทะเลาะกัน ยิ่งรู้สึกว่าคนรักของเรามันห่วย คบกันไปก็ไม่เห็นจะมีอะไรดีขึ้น เหตุผลดี ๆ ที่เราเคยเชื่อว่าเขาเป็น ตอนนี้มันไม่ได้มีน้ำหนักอีกแล้ว
จำได้ไหมว่าเราทะเลาะกันวันหนึ่งกี่รอบ บางเรื่องก็เป็นเรื่องเล็ก บางทีไม่มีเรื่องเราก็ยังทะเลาะกันได้อีก ต่างคนต่างเหนื่อย ยิ่งเหนื่อยยิ่งอยากหนีไปให้ไกล แต่สุดท้ายก็รู้ว่าตัดใจไปจากกันไม่ได้ ก็กลับมาคบกันอีก...แล้วก็ทะเลาะกันอีก กลายเป็นวัฏจักรแห่งความไม่เข้าใจที่นับวันจะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกที
เมื่อถึงตอนนี้ มีหลาย ๆ คนที่เริ่มคิดถึงระยะห่าง เริ่มคิดว่าในเมื่ออยู่ใกล้กันแล้วมีแต่ทะเลาะกัน ควรห่าง ๆ กันไปสักพักดีไหม เผื่อเหตุการณ์จะคลี่คลายและกลับมาดีขึ้น แรก ๆ ที่ไม่โทร.หากันทุกวันเหมือนอย่างเดิม ก็ทำให้หัวใจปั่นป่วนไม่น้อย คนเคยโทร.หากันทุกวัน แต่วันนี้ยอม ใจแข็ง ลองสู้กับความรู้สึกตัวเองดูสักตั้ง ก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าอะไร ๆ มันจะดีขึ้น แต่พอเขาโทร.มาก็ดีใจจนลืมตัว...กลับไปคบกันใหม่ ทั้ง ๆ ที่หัวใจยังเต็มไปด้วยแรงปะทุของความรู้สึกแง่ลบที่ยังไม่ได้ลบทิ้งไปจากหัวสมอง
พอมีเหตุการณ์แย่ ๆ ให้ต้องทะเลาะกันอีก คราวนี้เรื่องเล็ก ๆ เลยใหญ่กว่าเดิมหลายเท่า เริ่มรู้สึกแย่หนักกว่าเก่า ตราบใดที่คนเราคบกันด้วยคำว่า "มากไป" ไม่ว่าจะ "ใช้เหตุผลมากไป" หรือ "ใช้ความรู้สึกมากไป" มันก็ไม่ดีทั้งนั้นแหละ...เพราะอะไรที่มากไปจะทำให้น้ำหนักในการตัดสินใจของเราโอนเอียง ไม่มีความเที่ยงตรง และก็มีโอกาสที่จะตัดสินใจผิดพลาดได้สูง
แนะนำว่าเมื่อไรก็ตามที่เริ่มรู้สึกว่าเรามองทุกอย่างในแง่ลบ เราควรพักทั้งสมองและหัวใจ แล้วให้เวลาตัวเองได้มองหาเหตุผล ให้โอกาสตัวเองได้ทบทวนความรู้สึก อย่าหันหลังให้คนที่เรารัก ถ้าเรายังไม่ได้หมดรักกัน เพราะไม่มีเหตุผลที่เราจะทำร้ายความรู้สึกกันและกันด้วยการกระทำในสิ่งที่ตรงข้ามกับใจ
ปรับเหตุผลที่มากไป ให้กลับมาเข้าที่ ปรับความรู้สึกที่ร้าย ๆ ให้กลับมาสู่ความสมดุล ถ้าเราสามารถปรับทั้งสองสิ่งให้มีน้ำหนักเท่ากันได้ ความรักของเราก็น่าจะปรับให้กลับมาสมดุลได้อย่างไม่ยากเย็นอะไรเช่นกัน