พบวัยรุ่นไทยทำแท้งพุ่ง ไม่รู้เรื่องการคุมกำเนิด
เผยวัยรุ่นไทยไม่สนคุมกำเนิดจนเกิดปัญหาท้องไม่พร้อม และทำแท้งในวัยเรียนเพิ่มขึ้น พบแม่วัยรุ่น 150,000 คนต่อปี แนะผู้หญิงต้องรู้วิธีหลบเลี่ยงเมื่อถูกชวนให้มีเพศสัมพันธ์ หากไม่พร้อมต้องกล้าปฏิเสธ
สภาวิชาการคุมกำเนิดแห่งภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก ร่วมกับ กรมอนามัย สถาบันอุดมศึกษา และภาคเอกชน จัดงานวันคุมกำเนิดโลก ซึ่งตรงกับวันที่ 26 กันยายนของทุกปี โดยปีนี้มุ่งปลูกฝังค่านิยม "ไม่พร้อม...ต้องพูด" นำเสนอผ่านกิจกรรมเวิร์กช็อปภายใต้แนวคิด "เรื่องจริงที่ต้องคุม" ด้วยการจำลองสถานการณ์ที่สุ่มเสี่ยงต่อการมีเพศสัมพันธ์มากที่สุด 3 เหตุการณ์ ได้แก่ รักออนไลน์ เที่ยวต่างจังหวัด และงานปาร์ตี้ พร้อมถ่ายทอดเทคนิคการหลบเลี่ยงและวิธีคุมกำเนิดอย่างถูกต้องเมื่อเผชิญกับสถานการณ์จริง เพื่อรณรงค์ให้วัยรุ่นตระหนักถึงปัญหาตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์และลดการทำแท้งในในวัยเรียน
ศ.นพ.สุรศักดิ์ ฐานีพานิชสกุล คณบดีวิทยาลัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะผู้แทนสภาวิชาการคุมกำเนิดแห่งภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกประจำประเทศไทย เปิดเผยว่า จากผลการสำรวจล่าสุดเกี่ยวกับทัศนคติการมีเพศสัมพันธ์และการคุมกำเนิดในวัยรุ่นหญิงและชายใน 15 ประเทศทุกทวีปทั่วโลก พบว่า กลุ่มตัวอย่างเฉลี่ยร้อยละ 31 ไม่มีการปรึกษาเรื่องการคุมกำเนิดก่อนมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก โดยเฉพาะประเทศไทยมีอัตราสูงถึงร้อยละ 41 และร้อยละ 24 มีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนใหม่โดยไม่ป้องกันและคุมกำเนิดเลย
"สาเหตุที่กลุ่มตัวอย่างมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน ส่วนใหญ่ไม่เตรียมอุปกรณ์ มีอัตราร้อยละ 31 รองลงมาคือ ลืม ร้อยละ 12 ตนเองไม่ชอบป้องกัน ร้อยละ 12 คู่นอนไม่ชอบป้องกัน ร้อยละ 12 และเมา ร้อยละ 11"
สำหรับประเด็นเกี่ยวกับความรู้ความเข้าใจเรื่องการคุมกำเนิด พบว่า กลุ่มตัวอย่างยังมีความเข้าใจเรื่องการป้องกันและการคุมกำเนิดที่ไม่ถูกต้อง โดยพบว่าร้อยละ 36 ใช้วิธีหลั่งข้างนอก ซึ่งจากผลการวิจัยพบว่าวิธีนี้มีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดเพียงแค่ 70% ทำให้ความเสี่ยงในการตั้งครรภ์ยังอยู่ในระดับที่สูง และที่น่าสนใจคือวัยรุ่นใน 15 ประเทศมักจะปรึกษาเรื่องการคุมกำเนิดกับคู่นอนและเพื่อนมากที่สุด โดยมีสาเหตุหลักมาจากอายไม่กล้าเข้าไปปรึกษา
ศ.นพ.สุรศักดิ์กล่าวอีกว่า ในประเทศไทยได้มีการสำรวจความคิดเห็นของวัยรุ่นชายหญิงที่กำลังศึกษาในระดับอุดมศึกษา พบสาเหตุหลักที่ทำให้ยอมมีเพศสัมพันธ์ในขณะอยู่ในวัยเรียนนั้นมาจากความรักและปฏิเสธไม่ได้ ส่วนสถานที่ที่นำไปสู่การมีเพศสัมพันธ์มากที่สุด ได้แก่ หอพักหรืออพาร์ตเมนต์ ร้อยละ 44 โรงแรมหรือที่พักหลังจัดงานปาร์ตี้และเที่ยวกลางคืน ร้อยละ 28 และสถานที่ท่องเที่ยวต่างจังหวัด ร้อยละ 15
พญ.นันทา อ่วมกุล ผู้อำนวยการสำนักที่ปรึกษา กรมอนามัย ระบุว่า วัยรุ่นไทยตระหนักต่อปัญหาท้องไม่พร้อมและการทำแท้ง โดยร้อยละ 36-43 ของวัยรุ่นหญิงชายมีเพศสัมพันธ์แล้ว อายุการมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกมีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ มารดาวัยรุ่นอายุต่ำกว่า 20 ปี มีร้อยละ 19.2 ของการคลอดทั้งหมด หรือประมาณ 150,000 คนต่อปี
นอกจากนี้ ยังพบว่าผู้ที่เข้ารับการรักษาภาวะแทรกซ้อนจากการทำแท้งมีอายุต่ำกว่า 20 ปีถึงร้อยละ 30 สถิติดังกล่าวนับเป็นปัญหาที่สำคัญและยังคงต้องเร่งแก้ไข โดยอาศัยความร่วมมือจากทั้งภาครัฐ เอกชน สถาบันครอบครัว โดยเฉพาะเพื่อน ซึ่งเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลต่อความรู้สึกและการตัดสินใจของกลุ่มวัยรุ่นเป็นอย่างมาก
ด้าน นพ.สุกมล วิภาวีพลกุล จิตแพทย์และนักพูดชื่อดัง เผยว่า สาเหตุที่ปัญหาท้องไม่พร้อมและการทำแท้งในวัยเรียนทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ มาจากการขาดความรู้ความเข้าใจ รวมทั้งความมั่นใจในตนเอง โดยผู้หญิงมักมีจุดอ่อนที่การไม่กล้าปฏิเสธเพราะกลัวคนรักทิ้ง และเมื่อยอมครั้งแรก ครั้งต่อๆ ไปก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากเย็นอีกต่อไป ทำให้พลาดและตั้งท้องในที่สุด ทั้งนี้ วัยรุ่นควรเรียนรู้ถึงจิตวิทยาในการปฏิเสธเพื่อลดปัญหาการตั้งครรภ์โดยไม่พร้อม โดยควรตระหนักถึงการรักนวลสงวนตัว และวิธีการป้องกันตัวเองเมื่ออยู่ในสภาวะการถูกกดดันให้มีเพศสัมพันธ์.
ขอบคุณบทความดีดีจาก
หนังสือพิมพ์ ไทยโพส