สังเกตสัญญาณอันตราย!! น้ำในหูไม่เท่ากัน
เคยไหมที่อยู่ดี ๆ ก็เกิดอาการหน้ามืดวิงเวียนศีรษะคล้าย ๆ บ้านหมุนโดยไม่รู้สาเหตุ กระเพาะอาหารปั่นป่วน อยากจะอาเจียนออกมาพอลุกขึ้นยืนก็ทรงตัวไม่อยู่จะล้มเสียให้ได้!??
ลักษณะอาการเช่นนี้อาจเป็นสัญญาณเตือนให้รู้ว่าคุณกำลังเข้าข่ายเป็น "โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน"
นพ.วัชชิระ ตีระพิพัฒนกุล เวชศาสตร์ครอบครัวศูนย์ตรวจสุขภาพ โรงพยาบาลปิยะเวท อธิบายถึงลักษณะของโรคน้ำในหูไม่เท่ากันให้ฟังว่า คำว่า โรคน้ำในหูไม่เท่ากันนั้นเป็นภาษาที่เรียกกันทั่วไปแต่ทางการแพทย์จะเรียกว่า"โรคแรงดันน้ำในช่องหูชั้นในผิดปกติ"
ปกติหูชั้นในจะแบ่งเป็น2 ส่วน คือ ส่วนที่มีลักษณะคล้ายก้นหอยทำหน้าที่รับเสียง อีกส่วนหนึ่งเป็น อวัยวะรูปร่างคล้ายเกือกม้า ซึ่งมีอยู่3 ชิ้นด้วยกัน ทำหน้าที่เกี่ยวกับการทรงตัว
หูชั้นในนอกจากจะแบ่งตามหน้าที่แล้ว ยังแบ่งตามโครงสร้างได้เป็น 2 ส่วน คือส่วนที่เป็นกระดูก กับ ส่วนที่เป็นเยื่อหุ้มภายในส่วนที่เป็นกระดูกจะห่อหุ้มส่วนที่เป็นเยื่อหุ้มภายใน โดยในส่วนที่เป็นเยื่อหุ้มภายในจะมีของเหลวอยู่ เมื่อเกิดโรคแรงดันน้ำในช่องหูชั้นในผิดปกติของเหลวที่อยู่ในส่วนที่เป็นเยื่อหุ้มภายในจะคั่งมาก ทำให้การไหลเวียนไม่สะดวก แรงดันที่เพิ่มขึ้นในหูชั้นในจะขัดขวางการทำงานของกระแสประสาทที่เกี่ยวกับการได้ยินและการทรงตัว ทำให้สูญเสียการได้ยินและความสมดุลเกิดอาการเวียนศีรษะขึ้น
โรค ๆ นี้ไม่ได้พบบ่อยนัก ในจำนวนของคนไข้ที่เข้ามาพบแพทย์ ด้วยอาการเวียนศีรษะ อาเจียน จะมีเพียงร้อยละ 7 เท่านั้นที่เป็นโรคนี้
ฉะนั้น ในการวินิจฉัยโรคจะต้องใช้อาการเฉพาะเพื่อแยกโรคอื่นที่เกี่ยวกับหูออกไปเสียก่อน โดยใช้วิธีการตรวจเพิ่มเติมในส่วนของหูชั้นใน ซึ่งบางครั้งอาจไม่พบความผิดปกติ แต่อาจตรวจโรคอื่นที่ไม่ใช่โรคน้ำในหูไม่เท่ากันเช่น หูน้ำหนวกซึ่งเกิดในหูชั้นกลาง แต่ก็อาจจะกระทบไปถึงหูชั้นในด้วย
ต่อมา คือภาวะหูชั้นในอักเสบเฉียบพลันซึ่งภาวะนี้จะประกอบไปด้วย 2 โรคด้วยกันเรียกว่า ภาวะของการทรงตัวผิดปกติอย่างเดียวกับ โรคที่หูชั้นในผิดปกติแบบเฉียบพลัน ซึ่งจะมีทั้งที่ระบบการทรงตัวเสียและการได้ยินเสียไปด้วยและอีกโรคหนึ่งที่พบบ่อย ๆคือ บางทีคนไข้ไปตรวจกับหมอแล้วหมอพบว่า หินปูนที่เกาะอยู่ในหูชั้นในหลุดตรงนี้จะเป็นเรื่องของโรคเกี่ยวกับหูที่หมอจะแยกออกไปจากโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน เมื่อแยก
โรคออกแล้วคนไข้มาด้วยอาการเฉพาะจึงจะบอกได้ว่าคน ๆนั้น เป็นโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน
ลักษณะเฉพาะที่ว่านั้นคือ เวียนศีรษะคล้ายบ้านหมุน ร่วมด้วย หูอื้อ หรือมีเสียงในหู อื้อ ๆ ๆ อยู่ในหูตลอดเวลา อาจจะได้ยินข้างเดียวหรือทั้ง 2 ข้าง ก็แล้วแต่พยาธิสภาพว่าจะเป็นข้างเดียวหรือเป็นทั้ง 2 ข้างโดยหูอื้อ อาจจะเป็นชั่วคราวหรือถาวรก็ได้ ถ้าเป็นระยะแรก จะสูญเสียการได้ยินโดยจะเป็นแค่ชั่วคราว หลังจาก
หายเวียนศีรษะแล้วการได้ยินจะกลับมาเป็นปกติ แต่ถ้าที่มีอาการวิงเวียนบ่อย ๆหรือเป็นมานานอาการหูอื้อมักจะถาวร
ที่สำคัญ คือ อาการมึนงงเวียนศีรษะคล้ายบ้านหมุนเหล่านี้จะเป็นอยู่ไม่นานมากนัก โดยจะมึนเวียนหัวอยู่ประมาณ 20 นาที ถึง 2 ชั่วโมงก็จะหาย แล้วไม่นานก็จะกลับมาปวดหัวหรือมีอาการดังกล่าวอีก โดยจะมีลักษณะเป็น ๆ หาย ๆ ซึ่งอาการเหล่านี้เป็นลักษณะเฉพาะของโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน
โรคนี้มีโอกาสเป็นได้ทุกเพศ และทุกวัย เพราะเป็นโรคที่ไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดพบมากในวัยทำงานที่มีอายุ40 ปีขึ้นไปแต่มีปัจจัยต่าง ๆที่มีผลต่อการดำเนินโรคได้โดยพบว่าอาหารที่มีปริมาณเกลือโซเดียมสูง หรืออาหารที่มีรสเค็ม สามารถกระตุ้นให้เกิดอาการได้ เช่นเดียวกับการสูบบุหรี่ ดื่มสุรา ความเครียด และสภาวะแวดล้อมที่มีเสียงดังอึกทึก
การรักษาเนื่องจากโรคนี้ไม่มีความจำเพาะของพยาธิสภาพ หมอจะรู้แต่เพียงว่าความดันในหูไม่เท่ากันส่วนใหญ่จะรักษาตามอาการที่ตรวจพบ โดยจะให้ยาขับปัสสาวะ เพื่อลดสภาวะอาการบวมและคั่งของน้ำในหูชั้นในรวมทั้งยาขยายหลอดเลือด ยาลดอาการเวียนศีรษะและคลื่นไส้อาเจียน ตลอดจนยากล่อมประสาท และยานอนหลับเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยผ่อนคลายและนอนหลับได้เป็นปกติ
การป้องกัน ทำได้โดยเมื่อทราบภาวะที่จะกระตุ้นให้เกิดโรคแล้ว อะไรที่เป็นภาวะเสี่ยงก็ ควรลดภาวะนั้น ๆอาทิ หลีกเลี่ยงการดื่มสุราชา กาแฟ การสูบบุหรี่ ลดการบริโภคอาหารที่มีรสชาติเค็ม นอกจากนี้ การปฏิบัติตัวเพื่อให้ลดภาวะและอาการของโรคเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในชีวิตประจำวัน ได้แก่ ลดภาวะเครียด ควบคุมอารมณ์ให้เบิกบานแจ่มใส และลดงานบางอย่างที่มากจนเกินไป
รวมทั้ง หาเวลาออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และพักผ่อนให้เพียงพอ พยายามหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น เช่น อยู่ในที่ที่มีเสียงดังเป็นเวลานานตลอดจน แสงแดดจ้าหรืออากาศที่ร้อนอบอ้าว
นพ.วัชชิระกล่าวทิ้งท้ายว่า "เมื่อมีอาการของโรคอย่าตระหนกกับอาการ เพราะไม่ได้เป็นโรคที่ทำให้เกิดการเจ็บป่วยมากนัก ไม่ได้ทำให้ล้มหมอนนอนเสื่อ แต่ถ้าเป็นมากจนกระทั่งรบกวนการทำงาน ควรดูแลตนเองด้วยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
อย่าเครียด เมื่อรู้ว่าเครียดควรหาวิธีผ่อนคลายหยุดการทำงานสักพัก เมื่อดีขึ้นจึงค่อยกลับไปทำงานต่อรวมทั้ง ลดการบริโภคอาหารรสเค็มจัด หลีกเลี่ยงอาหารที่ใส่เกลือมาก ๆ ลดการดื่มสุราหากมีอาการเวียนหัวบ้านหมุนเมื่อไรควรรีบมาพบแพทย์เพื่อแพทย์จะได้วินิจฉัยแยกโรคให้ชัดเจน จะได้ทำการรักษาได้อย่างถูกต้องและทันท่วงทีต่อไป