เคร่งเครียดซีเรียสจัด ขอให้เชื่อเถอะว่าคนที่มีอารมณ์ขันสามารถทำให้คนอื่นหัวเราะไปได้น่ะ ใครๆ ก็อยากเข้าวง แล้วคุณล่ะเคยเล่าเรื่องสนุกๆ กุ๊กกิ๊กให้เพื่อนคิกคักบ้างหรือเปล่า ก็ไม่ต้องถึงกับขำก๊ากเป็นตลกคาเฟ่หรอก แค่ให้ยิ้มหัวกันได้ก็เป็นเสน่ห์แล้ว
แต่ถ้าอยู่ในที่ทำงาน คุณก็หน้าเครียดวางท่าเอางานเอาการซะเต็มประดา พอเลิกงานคุณก็ยังวางหน้าอย่างนั้นอีก เฉยชามึนตึง ไม่รู้ที่เล่นทีจริงใครทักก็พูดด้วยอย่างแกนๆ ไม่มีมนุษย์สัมพันธ์ ฯลฯ ลองเป็นแบบนี้ก็ไม่นานหรอกใครๆ จะตีกรรเชียงออกห่างจากคุณ เพราะหาความรื่นรมย์ไม่เจอเลยสักกระติ๊ด...เซ็งค่ะ |
|
ขบกัดสะบัดเขี้ยว มีนิสัยชอบจับผิดคนอื่น แล้วก็วิพากษ์วิจารณ์ออกมาตรงๆหรือเก็บเอาไปนินทาลับหลัง ถึงแม้ว่าคุณจะรู้จริงแล้วอดวิจารณ์ออกมามาได้ หรือว่าวิจารณ์เพราะคุณขี้อิจฉามีปมด้อยให้ใครดีใครเด่นไม่ได้ ต้องหาเหตุมาตำหนิติเตียนจนได้ แน่ล่ะ! คนที่ฟังคุณอยู่ก็ย่อมเอิ๊กอ๊ากสะอกสะใจไปด้วย แต่แล้วพวกที่ฟังนั้นแหละจะค่อยๆ ขยาดปากคุณ ไม่อยากจะคบด้วยเพราะเกรงว่าจะถูกคุณเก็บไปเป็นเหยื่อลับหลังไงคะ |
|
ชอบจุ้นจ้านสั่งสอน พวกนี้น่าจะไปเป็นอาจารย์แนะแนวหรือคุมห้องปฎิบัติการซะให้รู้แล้วรู้รอด เพราะไปที่ไหนก็อดไม่ได้ที่จะแนะนำสั่งสอนเช่น ไปบ้านเพื่อนก็เล็งแลไปทั่วห้องรับแขก แล้วก็แนะเชียวว่าม่านหน้าต่างไม่เหมาะยังไง โต๊ะรับแขกตั้งมุมนี้ไม่เหมาะ ตู้โชว์ใบนั้นก็ไม่เข้ากับเครื่องลายครามที่อยู่ในตู้ ฯลฯ ต้องยังงั้นยังงี้ถึงจะถูกต้อง บางทีแนะไปถึงเรื่องอาชีพของสามี เพื่อน และการเรียนของลูกเพื่อนด้วยกันอีกแน่ะ ว่าควรทำไอ้โน่นจะรวยเร็วกว่า หรือว่าเรียนไอ้นี่จะหางานทำง่ายกว่า ชะดีชะร้ายกับสั่งสอนเพื่อนผู้เป็นเจ้าของบ้านว่า เธอต้องอ้วนกว่านี้อีกนิดหรือผอมกว่านี้อีกสักหน่อย ไม่งั้นฝาละมีเธอไปมีเมียน้อยแน่ๆ เฮ้อ...อีแบบนี้ใครอยากจะเปิดประตูต้อนรับในคราวต่อไปอีกละคะ...ถามตรงๆ เถอะ |
|
ช่างติแถมขี้บ่น นี่ก็เป็นคนอีกประเภทหนึ่งที่ทำลายเสน่ห์ของตัวเองให้เหือดหายไปได้อย่างชะงัดดีนัก ซึ่งโทษใครไม่ได้นอกจากตัวเอง เพราะไม่มีใครเขาจ้างวานใช้เลยสักนิกเดียว แต่เกิดขึ้นเพราะตัวเราเอง จิตไม่ว่าง แถม ผีเจาะปาก มาให้พูด คนประเภทนี้เห็นอะไรนิดหน่อยก็สามารถติได้เป็นคุ้งเป็นแคว เรียกว่าอะไรผ่านเข้ามาในสายเป็นจับมาเป็นข้อติฉินได้หมด จะมีมูลความจริงหรือเปล่า สมเหตุสมผลหรือไม่ ไม่สนใจ ขอให้ได้ติได้ประเมินค่าในขั้นต่ำหรือในแง่ลบไว้ก่อนเป็นพอใจ อีกพวกหนึ่งเป็นพวกที่ไม่ติอะไรตรงๆ หรือรุ่นแรง แต่ชอบบ่น บ่นได้สารพัดเรื่อง ขี้หมูรา ขี้หมาแห้ง ฝนตกก็บ่นหยุดก็บ่นอีก เช่น เดินเข้าไปในกลุ่มเพื่อนๆ ที่เขากำลังคุยกันเพลินๆ เรื่องอะไรอยู่ก็ไม่สนใจแล้วเปิดปากบ่นเรื่องรถติดทำให้มาช้าเป็นวรรคเป็นเวร แล้วก็บ่นต่อเรื่องแอร์ในห้องทำไมไม่ค่อยเย็น... โอ๊ย!
สารพัดจะหยิบยกขึ้นมาบ่น แล้วเพื่อนหน้าไหนล่ะคะจะทนฟัง คนอย่างนี้แหละที่เพื่อนจะหายหน้าไปทีละคนสองคนจนหมดเพื่อน ถ้ามีสามี...สามีอาจจะขอปลีกวิเวกไปนั่งวิปัสสนาในคาราโอเกะก็ได้ สบายหูกว่าฟังเสียงบ่นเยอะเลย |
|
ไม่เห็นความสำคัญของใคร คติเก่าๆ ที่ยังขลังอยู่เสมอคือ ถ้าอยากให้เขารักคุณ คุณก็ต้องรักเขาก่อน เป็นจิตวิทยาขั้นพื้นฐานเลยทีเดียว... หากคุณต้องการเป็นที่รักของใคร คุณก็ต้องรู้จักเป็นผู้ฟังที่ดีในขณะที่เขาพูด แสดงความสนใจในสิ่งที่เขาพูดเล่า ถ้าเสริมคำถามที่เหมาะเจาะได้ด้วยยิ่งดี
แต่ถ้าขณะที่เขาพูดอยู่นั่นคุณทำเป็นเมินเฉย ไม่ใส่ใจที่จะฟังหรือเมินมองไปทางอื่น ทำเหมือนกับว่าที่เขาพูดอยู่นั้นเป็นเสียงนกแก้วนกขุนทองไม่เห็นจะน่าสนใจเลย ถ้าคุณยังทำอย่างนี้กับหลายๆ คน อีกหน่อยคุณก็จะกลายเป็นคนที่ถูกเมินเหมือนกัน ในเมื่อคุณไม่เห็นความสำคัญของคนอื่นได้ คนอื่นเขาก็คิดและทำอย่างคุณเป็นเหมือนกัน...เกลือจิ้มเกลือว่างั้นเถอะ |
|
อะไรๆ ก็รู้ไปหมด ความรอบรู้ของคนเราน่ะพอจะแบ่งออกเป็นได้ 2 ประการคือ รู้เรื่องชาวบ้าน ใครทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่โดยเฉพาะเรื่องไม่ดีไม่งาม คุณทำเป็นรู้หมด แถมยังทำตัวเป็นหอกระจายข่าวเอาไปนินทาโพนทะนาให้คนอื่นๆ รู้ต่ออีกด้วย ซึ่งใครๆ ก็อยากฟังเพราะเรื่องพรรค์นี้อร่อยรูหู แต่ลึกๆ ลงไปแล้ว พวกที่ฟังคุณอยู่นั้นก็ชักไม่ไว้วางใจคุณ ไม่อยากจะคบด้วย ถ้าต้องคบก็คบอย่างผิวเผินเพราะเกรงว่าถ้าสนิทมากๆ แล้วคุณจะเอาความไม่ดีของเขาไปแฉโพยในวงอื่น
ส่วนอีกประเภทหนึ่งคือ รู้เรื่องเนื้อหาสาระทั่วไป เช่น ข่าวสารบ้านเมือง เรื่องศิลปะบังเทิง กีฬา แฟชั่น ดูโหงวเฮ้งก็ได้ ดูลายมือก็เป็น ฯลฯ ครอบจักรวาลไปหมดจนกลายเป็นสารานุกรมเคลื่อนที่ ถามอะไรตอบได้หมด ซึ่งก็น่าภาคภูมิใจไม่น้อยที่มีภูมิรู้
แต่บางทีการแกล้งไม่รู้ซะบ้างจะทำให้คุณมีเสน่ห์มากขึ้นไม่ใช่พอ ใครๆ พูดอะไรขึ้นมาคุณก็แจงเพิ่มแบบว่ารู้จริงรู้สึกมากกว่า หรือใครพูดอะไรคลาดเคลื่อนนิดๆ หน่อยๆ คุณก็ไม่ยอมปล่อยไปแต่กลับหักล้างแก้ไขทันควันโดยไม่เห็นแก่หน้าใครเลย...ระวังเถอะสักวันหนึ่งจะไม่เหลือใครนั่งฟังความรู้ของคุณเลยสักคน แล้วจะเหงาปาก เว้นเสียแต่คุณจะเปลี่ยนอาชีพไปเป็นครูบาอาจารย์ก็แล้วไป
|
|