10. แกรี ลีออง ริดจ์เวย์ (Gary Ridgeway 1949-?? )
แกรี ลีออง ริดจ์เวย์ ช่างทาสีรถบรรทุกเมืองซิแอตเทิลและทาโคน่า รัฐวอชิงตัน วัย 54 ปี ฆาตกรโรคจิตเจ้าของฉายา “นักฆ่าลุ่มแม่น้ำเขียว” ยอมรับว่าสังหารสตรีทั้งหมด 48 คน (ปัจจุบันพบ 50 ศพแล้ว) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโสเภณี ซึ่งตำรวจเชื่อว่าน่าจะสังหารมากกว่านั้น) โดยสังหาร ระหว่างปี 2525 จนกระทั่งถูกจับกุมในปี 2544 จากการตรวจสอบดีเอ็นเอ และตัดสินจำคุกตลอดชีวิต ปัจจุบันยังมีชีวิตสุขสบายดีในคุก
10 สุดยอดฆาตกรโหดฆ่าคนมากที่สุดในโลก!!!
อันดับ 9 อันเดร ชิกาทิโล( Andrei Chikatilo. 1936 - 1994)
เป็นฆาตกรที่มีชื่อเสียงของรัสเซียฆ่าคนไป 53 ศพ เหยื่อมีทั้งผู้หญิงและเด็ก แถมฆ่าแล้วกินศพอีกด้วย โดยเริ่มไล่ล่าฆ่าคนตั้งแต่ปี 1978 ถึง 1992 โดยปกติเหยื่อของเขาจะเป็นผู้คนไม่มีบ้าน หรือผู้ซึ่งพักรอบๆทาง ซึ่งบางรายถูกควักตาในขณะที่ยังมีชีวิต ถูกกัดหัวนม บางรายถูกผ่า ท้องในขณะที่เป็นๆ และมีอวัยวะบางส่วนถูกกินอย่างสยดสยอง ก่อนจะถูกจับได้ในปี 1992 ต่อมา และถูกประหารชีวิตด้วยการยิงเป้า เมื่อ วันที่ 14กุมภาพันธ์1994
อันดับ 8 บรูโน ลุค (Bruno Ludke. 1908 - 1944)
เกิดที่เยอรมัน เริ่มฆ่าคนเมื่ออายุ 18 ปี ค.ศ. 1927 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยสังหารผู้หญิงไปถึง 85 ศพ โดยส่วนใหญ่สภาพศพส่วนใหญ่ ถูกข่มขืนและถูกแทงหลายแผล หลังสงครามโลก 2 วันที่ 29 มกราคม 1943 บรูโนก็ถูกตำรวจจับ จนกระทั่งบรูโนจบชีวิต หลังจากถูกนำตัวไป ทดลองโดยการฉีดยา โดยคณะแพทย์ที่โรงพยาบาลเพราะต้องการศึกษาว่าทำไมเขาถึงเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่โหดแบบนี้
อันดับ 7 จาเว็ด อิคบอล (Javed Iqbal ??-2000)
ปี 1999 แคว้นปัญจาบ ปากีสถาน ชายคนหนึ่งชื่อ จาเว็ด อิคบอล ชาวปากีสถาน อาชีพรับจ้างทั่วไป ทำการฆ่าเด็กชายถึง100 ศพ! โดยใช้ เวลาแค่ 5 เดือน! โดยทุกรายจะลงมือข่มขืน รัดคอ จากนั้นก็สับร่างกายของเหยื่อออกเป็นชิ้นๆ และโยน ลงในหม้อที่มีกรดเพื่อทำลาย หลักฐาน จนกระทั่งจาเว็ดเกิดนึกเบื่อเขาเลยเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับเขาในจดหมายให้หนังสือพิมพ์ในเมืองจนถูกตำรวจจับในที่สุด ผลสุดท้าย ก็ถูกประหารตามกฎของปากีสสถานคือฆ่าเหยื่อตายยังไงก็ต้องถูกประหารแบบนั้น
อันดับ 6 เฮนรี่ ลู ลูกัส (Henry Lee Lucas. 1936 -2001)
เฮนรี่ ลู ลูกัสฆาตกรต่อเนื่องที่ตาบอดข้างหนึ่งในอเมริการ่วมมือกับออตติส เอลวูด ช่วยกันสังหารคนที่โบกรถตามทางหลวงของเท็กซัส ฟลอริดา ตั้งแต่ปีและทั่วประเทศในอเมริกา 1966 ซึ่งเขาอ้างว่าสังหารคนกว่า 3,000 ชีวิต แต่หลังจากการตรวจสอบพบว่า เขาฆ่าเพียง 210 ศพเท่านั้น โดย หนึ่งจำนวนนี้มีทั้งแม่และครูประจำชั้นของลูกัสรวมอยู่ด้วย ลูกัสใช้ชีวิตอยู่ในแดนประหารนานถึง15 ปี จนกระทั่งตายในคุกตามธรรมชาติเมื่อปี2001
อันดับ 5 เอซ เอซ โฮล์ม (H.H. Holmes. 1861 - 1896)
ชื่อจริง เฮอร์แมน เว็บสเตอร์ มัดเกทท์เป็นนักธุรกิจ หมอ นักต้มตุ๋น สังหารสตรีไป 200 ศพ (แต่สารภาพเพียง 27 ราย) โดยอุตสาห์ลงทุนสร้าง โรงแรมที่ชิคาโก บนหัวมุมถนนบล๊อกที่ 63 สหรัฐอเมริกา เพื่อฆ่าคนโดยเฉพาะ โรงแรมเสร็จสมบูรณ์ในปี 1892 และแขกส่วนมากจะถูกฆ่า ด้วยวิธีการต่างๆ นาๆ เช่น ราดน้ำกรด หั่นศพ รมแก๊ซ ฯลฯ แต่ผลสุดท้ายเขาถูกตัดสินว่ามีความผิดเพียงค่าคนเพียงคดีเดียว และโฮมส์ถูก แขวนคอเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 1897 ซึ่งเขาไม่ได้ตายทันที เขากระตุกอยู่ถึง 10 นาที ก่อนจะตายสนิทในอีก 5 นาทีให้หลัง
อันดับ 4 เปโดร อลองโซ โลเปซ (Pedro Alonso Lopez . 1949-??)
เจ้าของฉายา “อสูรกายแห่งเทือกเขาแอนดีส” ได้รับบันทึกว่าเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่ฆ่าคนมากที่สุดในยุคปัจจุบัน โดยทำสถิติฆ่าเหยื่อไปแล้วทั้งหมดแบบคร่าวๆ คือ300 ศพ โดย 100 ศพเป็นผู้หญิงเผ่าอินเดียแดง เกือบทั้งหมดถูกข่มขืนอย่างรุงแรงก่อนที่จะ รัดคอหรือบีบคอตาย โดยในช่วงปลายทศวรรษที่ 70 ต่อต้นทศวรรษที่ 80 เปโดรเดินสายฆ่าคนเป็นว่าเล่นถึงสามประเทศคือ เปรู โคลัมเบีย และ เอกวาดอร์ ก่อนที่จะถูกจับในขณะเขากำลังฆ่าพอดี ก่อนที่จะสารภาพว่าฆ่าเหยื่อกว่า 300 ซึ่งตำรวจได้เพียงแต่เชื่อเขาเท่านั้นเพราะช่วงนั้นเกิด น้ำท่วมใหญ่ในอเมริกาใต้ทำให้หลักฐานที่เขาทำไว้หายหมด ผลสุดท้ายถูกปล่อยโดยรัฐบาลเอกวาดอร์และเนรเทศกลับไปดำเนินคดีต่อที่ โคลัมเบียในปี 1998
อันดับ 3 กิลส์ เดอ เรยส์ (Gilles de Rais, 1404-1440)
อดีตคนสนิทของ แจนน์ ดาร์ค (โจน ออฟ อาร์ค) วีรสตรีซึ่งมีชื่อเสียงที่สุดของฝรั่งเศส หลังจากแจนน์ ดาร์คก็ถูกทหารฝ่ายศัตรูจับ และถูกเผา ทั้งเป็นในฐานะแม่มดเมื่อปี 1431 กิลส์ก็เริ่มบ้า และเชื่อว่าเลือดคนสามารถเล่นแร่แปรธาตุเป็นทองคำได้ ทำให้เขาริเริ่มทำการรวบรวมเด็กชาย จากที่ต่างๆมาเพื่อเป็นเครื่องสังเวยให้กับปีศาจโดยเด็กบางคนถูกผ่าท้องแล้วทึ้งไส้ออกมา บ่อยครั้งที่กิลส์ข่มขืนศพของเด็กที่เสียชีวิตแล้ว เขาสะสมศีรษะของเด็กหนุ่มจำนวนมาก และศีรษะที่หน้าตาดีจะถูกเรียงไว้เหนือเตาผิงเหมือนเป็นคอลเลคชั่นพิเศษ มีการพบศพของเด็กจำ นวนกว่า 150 ศพ (ส่วนใหญ่ไม่มีศีรษะ) ในปราสาท แต่พูดกันว่าเหยื่อของเขาน่าจะมีมากกว่า 1500 ราย(อันนี้เกินไปหน่อย) และผลสุดท้าย กิลส์ ถูกตัดสินให้ประหารโดยการแขวนคอในวันที่ 26 ตุลาคม 1440 และศพถูกลงโทษโดยการเผา
อันดับ 2 เอลิซาเบธ บาโธรี่ (Erzsabet Bathory. 1560 - 1614)
เป็นผู้หญิงที่ฆ่าคนมากที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยจำนวนเหยื่อเป็นสาวพรหมจารี 605 ศพ!! เป็นถึงเชื้อพระวงค์ชั้นสูง ฮังการี ในยุโรป มีอำนาจ ล้นหลาม ฆ่าคนจำนวนมากเพราะเชื่อว่าเลือดของเด็กสาวเป็นยาอายุวัฒนะชะลอความแก่ได้ โดยเอริซาเบทจะรวบรวมเด็กสาวจากที่ต่างๆใน ดินแดนของตน กว่า 600 ราย จากนั้นก็ฆ่าและรีดเลือดจากศพเด็กสาวเพื่อมาใช้อาบตัวแทนน้ำ ส่วนศพก็ไปฝังในปราสาท โดยวิธีการรีดเลือด ส่วนใหญ่มักมีอุปกรณ์ทรมานมาใช้ประกอบ เช่น ใช้เหล็กร้อนเผาลำคอ ใช้เครื่องทรมานบีบหน้าอก บางครั้งเธอก็ใช้มือทั้งสองของตัวเองล้วงเข้า ไปในปากและฉีกร่างของเหยื่อออกเป็นสองซีก บางครั้งก็ให้ทหารกรูกันเข้ามาลงแขก แล้วแทงด้วยมีดที่กลางอก บ้างก็ถูกตัดหัว บ้างก็ถูกตัดแขน ตัดขาและเสียเลือดมากจนสิ้นลม
มกราคมปี 1611 เอริซาเบทถูกตัดสินให้ถูกจำคุกตลอดชีวิต ส่วนผู้ร่วมสังหารทุกคนต่างก็ถูกตัดสินโทษเผาทั้งเป็น เธอเสียชีวิตในอีก 3 ปีให้หลัง และมีบางตำนานกล่าวว่าเธอหนีออกไปได้และกลายเป็นผีร้ายอยู่ในป่าของฮังการี
และฆาตกรที่ฆ่าคนมากที่สุดของโลกอันดับ1 คือ..
อันดับ 1หลุยส์ อัลเบอร์โต้ การาวิโต้ (Luis Alfredo Garavito.1957-??)
หลุยส์ อัลเบอร์โต้ การาวิโต้ (บางชื่อเป็น ลูอิส อัลเฟรโด้ การาวิโต้ ) ถือกำเนิดขึ้นมาในเขตควินดิโอของประเทศโคลัมเบีย เมื่อวันที่ 25 มค. 1957 เจ้าของฉายา “อสูรกายแห่งไร่อ้อย” จากปากคำเขาสารภาพว่าลงมือสังหารเหยื่อมากมายถึง 1,800 ราย!! (1982-1999) โดยส่วนมากล้วนเป็นเด็ก ชายที่มีอายุ 6 ขวบ ถึง 15 ปีทั้งสิ้น ซึ่งถือได้ว่าเป็นจำนวนมหาศาลมากจนไม่คิดว่าจะมีใครในโลกที่ฆ่าคนโดยลงมือคนเดียวได้ขนาดนี้
แต่กระนั้นการตามรอยหาศพของฆาตกรคนนี้ลงมือไว้ สามารถตามเก็บเพียง 157 ศพเท่านั้น ซึ่งเขาสารภาพว่าเขาชอบทรมานเหยื่อก่อนฆ่า มีหลาย ครั้งที่เขาชอบเอามีดแทงเหยื่อก่อนที่จะข่มขืนอย่างเมามัน จากนั้นก็ทิ้งศพที่ไร่อ้อย ซึ่งทั้งนี้ที่เขาสามารถฆ่าคนได้เป็นจำนวนมากๆ ได้ ก็เนื่องมา จากประเทศโคลัมเบียค่อนข้างเป็นประเทศที่กฎหมายค่อนข้างล้าหลัง และสงครามกลางเมืองในประเทศทำให้หลายคนชาชินกับการตายของคนอื่น
ปัจจุบัน หลุยส์ อัลเบอร์โต้ ถูกตัดสินจำคุกถึง 2,400 ปี แต่กระนั้นเขาก็ยืนยันว่าถ้าออกจากคุกเขาก็จะฆ่าคนอยู่ดี (ไม่ต้องเกิดมาแล้วแหละ)