บันทึกลับเรื่องราวการปรากฏตัวของวัตถุบินลึก ลับที่ยังหาคำตอบไม่ได้จากกระทรวงกลาโหมสหรัฐ ถูกนำมาตีแผ่เปิดเผยต่อสาธารณชนจนแม้คนที่เคยไม่เชื่อยังเกิดความลังเลใจ
แฟ้มลับยูโฟ

เรื่องราวของวัตถุบินไม่ปรากฏสัญชาติหรือที่นิยมเรียกกันสั้นๆว่า “ยูโฟ” (UFO-Unidentified Flying Object) เป็นที่ถกเถียงกันมานานหลายสิบปี มีทั้งฝ่ายที่เชื่อว่ายูโฟคือยานพาหนะของอาคันตุกะจากต่างดาวและฝ่ายที่ เชื่อว่ามันเป็นเพียงภาพลวงตา เกิดจากวัตถุธรรมดาๆบางอย่างที่สร้างโดยมนุษย์โลกนี้เอง
รายงานการพบเห็นวัตถุบินลึกลับมีมานานนับร้อยปี แต่รัฐบาลสหรัฐเพิ่งมาเริ่มให้ความสนใจอย่างจริงๆจังๆในช่วงทศวรรษที่ 1950 เมื่อความถี่ในการพบเห็นมีจำนวนบ่อยครั้ง ประกอบกับเป็นช่วงเวลาศึกสงครามทำให้เกรงว่าวัตถุบินลึกลับเหล่านั้นอาจเป็น อาวุธลับของฝ่ายศัตรู กระทรวงกลาโหมจึงสถาปนาหน่วยงานพิเศษขึ้นมาในปี 1952 เพื่อสืบสวนหาความจริงภายใต้โครงการลับที่มีรหัสว่า “โครงการสมุดปกน้ำเงิน” (Project Blue Book)

จุดประสงค์หลักของโครงการนี้คือการใช้เหตุผลและหาหลักฐานมาประกอบคำ อธิบายโต้แย้งความเชื่อเรื่องมนุษย์ต่างดาว เพื่อคลายความตื่นตระหนกของประชาชน รายงานการพบเห็นยูโฟจำนวนหลายพันครั้งทั้งในสหรัฐและต่างประเทศถูกทำการสืบ สวนหาข้อสรุป ซึ่งเรื่องราวส่วนใหญ่จะจบลงที่ “คิดกันไปเอง”
อย่างไรก็ตาม มีเรื่องราวส่วนหนึ่งที่แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญของกองทัพอากาศสหรัฐก็ไม่สามารถ หาคำอธิบายที่ดีและมีเหตุผลให้กับเรื่องราวเหล่านั้นได้ และมันก็ยังคงเป็นปริศนาอยู่จนถึงกระทั่งทุกวันนี้
ใกล้แค่เอื้อม
เวลา 02.45 น. วันที่ 24 กรกฎาคม 1948 กัปตันคลาเรนซ์ ชิเรส (Clarence Chiles) เจ้าหน้าที่สายการบินอีสเทิร์น (Eastern Airlines) เห็นก้อนเมฆสีแดงคล้ายไอพ่นของเครื่องบินเจ็ตลอยอยู่เหนือศีรษะห่างออกไปราว 1 กิโลเมตร เขาสะกิดผู้ช่วยนักบิน จอห์น วิตเต็ด (John Whitted) ให้ดูแล้วบอกว่า “ดูนั่นสิ ของเล่นใหม่ของกองทัพอากาศ”
กัปตันคลาเรนซ์และผู้ช่วยนักบินเคยเป็นนักบินของกองทัพอากาศมาก่อน พวกเขาคิดว่าสิ่งที่เห็นนั้นเป็นเครื่องบินรบรุ่นใหม่ แต่เมื่อพิจารณาอย่างละเอียดก็พบว่า สิ่งที่เห็นนั้นไม่มีความคล้ายคลึงกับเครื่องบินชนิดใดๆเลย มันมีรูปทรงเรียวยาวคล้ายตอร์ปิโด มีหน้าต่างเรียงซ้อนกัน 2 แถว และเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง

เพียงไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น วัตถุบินลึกลับก็เคลื่อนตัวตรงเข้ามาหากับเครื่องบินพาณิชย์ด้วยความเร็วสูง ทำให้กัปตันคลาเรนซ์ต้องบังคับเครื่องบินเบี่ยงหนีออกทางด้านซ้าย จอห์นเหลียวกลับไปมอง เห็นวัตถุบินลึกลับไต่เพดานบินขึ้นสูงในแนวดิ่งและหายตัวไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็มีเวลาให้กัปตันและผู้ช่วยได้พิจารณารูปร่างของมันอยู่นานกว่า 10 วินาที


คำกล่าวอ้างของกัปตันเครื่องบินพาณิชย์อาจไม่มีน้ำหนักเท่าไรนักหากไม่ เป็นเพราะวอลเตอร์ มาสเสย์ เจ้าหน้าที่ภาคพื้นดินประจำฐานทัพอากาศโรบินส์ ในรัฐจอร์เจีย และนักบินอีกคนหนึ่งในรัฐนอร์ทแคโรไลนา รายงานการพบวัตถุบินลึกลับในเวลาไล่เลี่ยกันและอธิบายรูปร่างของมันเหมือน กับที่กัปตันคลาเรนซ์อธิบายอย่างไม่ผิดเพี้ยน

ขณะที่ผู้โดยสารเที่ยวบินดังกล่าวหลับใหลกันนั้น คลาเรนซ์ แมคเคลวีย์ (Clarence McKelvie) ผู้โดยสารคนหนึ่งยังนั่งตาแข็งอยู่และได้เห็นวัตถุบินลึกลับเช่นเดียวกับ กัปตันและผู้ช่วย เจ้าหน้าที่กระทรวงกลาโหมพยายามอธิบายว่าสิ่งดังกล่าวเป็นเพียงลูกอุกกาบาต หากแต่ว่ากัปตันคลาเรนซ์และผู้ช่วยเคยเห็นลูกอุกกาบาตมานับครั้งไม่ถ้วน พวกเขาไม่มีทางสับสนแยกแยะไม่ออก

เจ้าหน้าที่กระทรวงกลาโหมจึงหาเหตุผลอื่นมาอธิบายว่ามันเป็นเพียงลูก บอลลูนตรวจอากาศ แต่เหตุผลนี้ก็ไม่ได้ดีไปกว่าเรื่องลูกอุกกาบาต อีกทั้ง 3 วันก่อนหน้านี้ มีรายงานผู้พบเห็นวัตถุบินลึกลับแบบเดียวกันในประเทศเนเธอร์แลนด์ ลูกบอลลูนที่ไหนจะลอยข้ามทวีปแบบนี้
ไล่ล่ายูโฟ
เย็นวันที่ 1 ตุลาคม 1948 นาวาอากาศตรีจอร์จ กอร์แมน (George Gorman) ครูฝึกนักบินประจำฐานทัพอากาศฟาร์โก รัฐนอร์ทดาโกตา นำนักบินฝึกหัดขึ้นฝึกบินระยะไกล จนกระทั่งถึงเวลาค่ำราว 20.30 น. นักบินฝึกหัดก็นำเครื่องกลับฐานทัพ ขณะที่จอร์จฉวยโอกาสท้องฟ้าปลอดโปร่งทำการฝึกซ้อมบินในยามค่ำตามลำพังจนถึง เวลา 09.00 น. ก็นำเครื่องกลับ
นาวาอากาศตรีจอร์จ กอร์แมน (George Gorman)
จอร์จวิทยุไปยังหอบังคับการบินเพื่อขออนุญาตนำเครื่องลงจอดและได้รับคำ ตอบว่าสนามบินปลอดการจราจร สามารถนำเครื่องลงได้ทันที หากแต่จอร์จไม่แน่ใจ เพราะเขาเห็นแสงไฟจากเครื่องบินลำอื่นลอยอยู่ต่ำจากตำแหน่งเขาประมาณ 500 ฟุต
เจ้าหน้าที่หอบังคับการบินยืนยันว่าไม่มีเครื่องบินลำอื่นอยู่ในบริเวณ นั้น จอร์จจึงบอกยกเลิกการลงจอดเพื่อทำการติดตามวัตถุบินลึกลับที่เขาเห็น

เมื่อจอร์จเร่งเครื่องยนต์บินเข้าประกบวัตถุบินลึกลับ มันก็เร่งเครื่องหนีและไต่เพดานบินจากระดับ 1,000 ฟุต บินสูงขึ้นเพื่อหลบหนี การไล่ล่ากินเวลานานถึง 27 นาที เมื่อเห็นว่าจอร์จไม่ยอมแพ้ วัตถุบินลึกลับก็กลับลำกะทันหันและเดินหน้าพุ่งเข้าหา ทำให้จอร์จต้องหักหลบ และปักหัวดิ่งลงเพื่อหลบเลี่ยงการปะทะกลางอากาศ
วัตถุบินลึกลับกลับลำและไต่เพดานบินสูงขึ้นอีกครั้ง จอร์จยังไม่ยอมแพ้ หักเลี้ยวไล่ตามด้วยความเร็ว 640 กม./ชม. ที่ความสูง 14,000 ฟุต ซึ่งเริ่มเป็นอันตราย เขาอาจหมดสติจากแรง G เหมือนที่เกิดขึ้นกับนาวาอากาศเอกโทมัส แมนเทล (Thomas Mantell) ซึ่งเผชิญหน้ากับวัตถุบินลึกลับเมื่อเดือนมกราคมในปีเดียวกัน โทมัสไล่ล่าวัตถุบินลึกลับด้วยความเร็วสูงจนไต่เพดานบินถึงระดับ 25,000 ฟุตแล้วเขาก็หมดสติไป ทำให้เครื่องบินตกเสียชีวิต
นาวาอากาศเอกโทมัส แมนเทล (Thomas Mantell)
จอร์จตัดสินใจหันหัวกลับ โดยไม่ลืมรายงานลักษณะวัตถุบินลึกลับที่มีขนาดใหญ่โตมโหฬารให้กับหอบังคับการบินได้รับทราบ ส่วนกระทรวงกลาโหมไม่มีคำอธิบายใดๆกับเหตุการณ์นี้
ยูโฟเยือนรัฐสภา
เวลา 23.40 น. วันที่ 19 กรกฎาคม 1952 หอบังคับการบินกรุงวอชิงตัน พบวัตถุบินไม่ปรากฏสัญชาติปรากฏบนจอเรดาร์ ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ห่างจากเมืองหลวงราว 24 กม. มีทิศทางการเคลื่อนที่มุ่งตรงไปยังอาคารรัฐสภา จึงวิทยุแจ้งไปยังฐานทัพอากาศแอนดรูว์ หากแต่ว่าเจ้าหน้าที่ฐานทัพอากาศไม่พบสิ่งแปลกปลอมใดๆบนจอเรดาร์
วิลเลี่ยม แบรนดี้ (William Brandy) ได้รับคำสั่งให้ขึ้นไปสังเกตการณ์บนหอคอย เขารายงานกลับมาว่าเห็นลูกไฟสีส้มฝูงหนึ่งเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง แต่ก่อนที่เจ้าหน้าที่คนอื่นจะขึ้นมาบนหอคอย ลูกไฟประหลาดกลุ่มนั้นก็หายไปจากท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว

เวลา 00.30 น. ขณะที่นักบินสายการบินแคปิตอลรอสัญญาณนำเครื่องขึ้นบิน เขารายงานว่าเห็นวัตถุทรงกลมขนาดใหญ่ 6 ดวงเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงอยู่บนท้องฟ้า เข้าใจว่าเป็นลูกอุกกาบาต เขาเฝ้าดูมันนานถึง 14 นาที
เวลา 20.15 น. วันที่ 26 กรกฎาคม ลูกไฟประหลาดปรากฏตัวขึ้นที่เดิมอีกครั้ง พนักงานต้อนรับสายการบินเนชั่นนอลรายงานว่าเห็นวัตถุประหลาดลอยอยู่เหนือ เครื่องบิน หลังจากนั้นไม่นาน หอบังคับการบินกรุงวอชิงตันก็ตรวจพบวัตถุบินไม่ปรากฏสัญชาติบนจอเรดาร์ และคราวนี้จอเรดาร์ของฐานทัพอากาศแอนดรูว์ก็ตรวจพบเช่นเดียวกัน
มันเป็นเวลาเดียวกับที่เจ้าหน้าที่โครงการสมุดปกน้ำเงินกำลังสืบสวน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสัปดาห์ก่อน เมื่อได้รับรายงานว่ามีวัตถุบินลึกลับปรากฏบนจอเรดาร์อีกครั้ง เขาก็สั่งกันไม่ให้นักข่าวเข้ามาในหอบังคับการบิน
วัตถุลึกลับเคลื่อนที่อย่างช้าๆ บางจังหวะก็เหมือนลอยอยู่นิ่งๆ แต่ทันใดนั้นเองมันก็เร่งความเร็วสูงกว่า 10,000 กม./ชม. เวลา 23.30 น. เครื่องบินขับไล่ 2 ลำจากฐานทัพอากาศนิวคาสเซิล ในรัฐเดลาแวร์ ถูกส่งขึ้นค้นหาวัตถุบินลึกลับแต่ก็คว้าน้ำเหลว
หลังเที่ยงคืนเล็กน้อย ผู้เชี่ยวชาญด้านอวกาศของโครงการสมุดปกน้ำเงิน 2 นายเดินทางมาสืบสวน และรายงานว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคือการเปลี่ยนแปลงอุณภูมิในชั้นบรรยากาศทำให้ เกิดการสะท้อนของสัญญาณเรดาร์ แต่นั่นไม่ได้อธิบายสิ่งที่พยานเห็นภาพวัตถุทรงกลมด้วยตาเปล่า
เครื่องบินล่องหน
วันที่ 21 ตุลาคม 1978 เฟรเดอริก วาเลนติช (Frederick Valentich) นำเครื่องบินส่วนตัวขึ้นบินจากกรุงเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย มุ่งหน้าไปยังเกาะคิงไอแลนด์ ขณะที่บินอยู่เหนือมหาสมุทร เขาแจ้งไปยังหอบังคับการการบินว่ามีเครื่องบินลำอื่นเคลื่อนที่อยู่ในระดับ ความสูงเดียวกับเขา

หอบังคับการการบินแจ้งกลับไปว่าไม่มีเครื่องบินลำอื่นบินอยู่ในระดับความ สูงนั้น แต่เฟรเดอริกยืนยันว่ามันบินอยู่ห่างจากเขาไปแค่ 300 เมตรเท่านั้น แต่รูปร่างมันไม่เหมือนเครื่องบินชนิดใดที่เขาเคยเห็นมาก่อน มันมีลำตัวยาวมากและเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงมาก
30 วินาทีต่อมา เฟรเดอริกรายงานว่า เครื่องบินประหลาดบินเคลื่อนตัวมาประชิดกับเขา มันมีลักษณะเป็นโลหะมันวาว มีไฟสีเขียวบนลำตัว จู่ๆมันก็บินหายไปจากสายตา การติดต่อขาดหายไปเป็นเวลา 28 วินาที เฟรเดอริกรายงานอีกครั้งว่าเครื่องบินลึกลับลินกลับมาประชิดเขาอีกครั้ง

“มันกำลังลอยตัว มันไม่ใช่เครื่องบิน” เฟรเดอริกเงียบเสียงไป แต่เสียงบรรยากาศแวดล้อมบ่งบอกว่าเครื่องส่งวิทยุยังคงทำงานอยู่ เสียงคล้ายโลหะขัดสีกันดังอยู่นาน 17 วินาที และมันคือเสียงสุดท้ายที่หอบังคับการบินได้บันทึกเอาไว้ เฟรเดอริกไม่ได้ติดต่อกลับมาอีก เขาไม่ได้นำเครื่องลงจอดที่เกาะคิงไอแลนด์ ทั้งเฟเดอริกและเครื่องบินหายสาบสูญไปเฉยๆ

มีผู้พยายามอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าเฟรเดอริกเกิดประสาทหลอนขับ เครื่องบินตีลังกากลับหัว มองเห็นเงาสะท้อนของเครื่ องบินตัวเองบนผิวทะเลและคิดไปว่าเป็นเครื่องบินลำ อื่น แต่ไม่มีใครสามารถอธิบายเสียงโลหะเสียดสีกันในช่วง 17 วินาทีสุดท้ายของการติดต่อทางวิทยุได้
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 272 วันที่ 14-20 สิงหาคม พ.ศ. 2553 หน้า 42 คอลัมน์ ร้ายสาระ โดย ศิลป์ อิศเรศ
บทความและรูปภาพจาก mythland


กระทู้ร้อนแรงที่สุดของวันนี้
























กระทู้ล่าสุด


รูปเด่นน่าดูที่สุดของวันนี้
















































Love Attack เทศกาลความรักแบบนี้ บอกอ้อมๆให้เขารู้กัน
Chocolate Dreams สาวชั่งฝันและช็อคโกแลต กับหนุ่มหล่อ ไม่แน่คุณอาจจะได้เจอแบบนี้ก็ได้
Love You Like Crazy เพลงเพราะๆ ที่ถ้าส่งให้คนที่เรารัก โลกนี้ก็สีชมพูกันทีเดียว