● เพราะอะไร? ประจำเดือนมาน้อยหรือไม่ค่อยมา ●

● เพราะอะไร? ประจำเดือนมาน้อยหรือไม่ค่อยมา ●


ในคนที่ไม่ได้ตั้งครรภ์แต่ประจำเดือนไม่มา มาน้อยหรือนานๆ มาครั้งสาเหตุที่พบมาจาก 4 สภาวะคือ

          1. วัยที่ประจำเดือนเพิ่งมาครั้งแรก
          2. วัยที่กำลังหมดประจำเดือน
          3. ได้รับฮอร์โมนเข้าไปในร่างกาย
          4. ฮอร์โมนผิดปกติ

         
วัยที่ประจำเดือนเพิ่งมาครั้งแรก   ปัจจุบันประจำเดือนของเด็กผู้หญิงทั่วโลกมาเร็วกว่าสมัยก่อน จากอายุเฉลี่ยที่ประจำเดือนมาครั้งแรกอายุ 16-17 ปี เมื่อสมัย 100 ปีก่อน กลายเป็น 14-15 ปี เมื่อ 50 ปีก่อน 12-13 ปี เมื่อ 30 ปีก่อน และปัจจุบันอายุเฉลี่ยในการมีประจำเดือนครั้งแรกลดลงเหลืออายุเพียง 11-12 ปี

          เชื่อว่าที่ประจำเดือนมาเร็วนั้นเกี่ยวข้องกับอาหาร การกินอยู่ที่ดีสิ่งแวดล้อมที่มีแสงสว่างหรือรังสีมากระตุ้นประสาทสมองของ เด็กผู้หญิง ทำให้สมองทำงานเร็วกว่าปกติส่งฮอร์โมนไปกระตุ้นรังไข่ให้ปล่อยฮอร์โมนเพศออก มากระตุ้นเยื่อบุมดลูก แต่เนื่องจากรังไข่ของเด็กผู้หญิงที่มีอายุน้อยนั้นยังไม่พร้อมจะทำงาน เมื่อมีฮอร์โมนจากสมองมากระตุ้นก็ปล่อยฮอร์โมนได้บ้างปล่อยไม่ได้บ้าง ประจำเดือนจึงมักมาบ้างไม่มาบ้างจนกว่ารังไข่จะทำงานได้เต็มที่ ดังนั้นกรณีนี้จึงถือเป็นเรื่องปกติ แต่หากมีอาการผิดปกติต่อไปนี้ควรพามาพบแพทย์

          1. ประจำเดือนมาเร็วกว่าอายุ 8 ปี เรียกว่าเป็นสาวเร็วไปอาจทำให้ตัวเตี้ยได้ เพราะกระดูกอ่อนปิดเร็วขึ้นจากการได้รับฮอร์โมนเพศ
          2. ประจำเดือนขาดหายไปนานกว่า 3 เดือน หากไม่รักษาเวลาประจำเดือนมามักมามากกว่าปกติ
          3. ประจำเดือนไม่ค่อยมา แต่มาครั้งหนึ่งนานและมากเกิน 1 สัปดาห์ หากไม่รักษาจะทำให้เกิดโรคโลหิตจางหรือภาวะซีดได้
          4. ประจำเดือนมากระปริบกระปรอยตลอดทั้งเดือน

         
วัยที่กำลังหมดประจำเดือน   ในวัยหมดประจำเดือนอยู่ในช่วงอายุ 45-50 ปี รังไข่เริ่มทำงานน้อยลงส่งผลให้ขาดหรือหมดฮอร์โมน ประจำเดือนจึงเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม บางคนเริ่มเปลี่ยนแปลงเร็วตั้งแต่อายุ 40 ปีขึ้นไป อาการปกติของวัยที่จะหมดประจำเดือนมีดังนี้

          1. ประจำเดือนมาเร็วขึ้น เช่น เคยมาเดือนละ 1 ครั้งก็อาจมาหัวเดือนท้ายเดือนหรือ 20 วันมาครั้งหนึ่ง
          2. ประจำเดือนมาน้อยลงหรือเริ่มขาดหาย 2-3 เดือนมา 1 ครั้ง
          3. ประจำเดือนมามาก แต่ต้องไม่มากจนเป็นอาการของการตกเลือด
          4. ประจำเดือนขาด มีอาการทางร่างกายและจิตใจผิดปกติรุนแรง หงุดหงิดง่าย ร้อนวูบวาบ ปวดกล้ามเนื้อ นอนไม่หลับ ฯลฯ

ส่วนอาการผิดปกติที่ต้องมาพบแพทย์คือ
          1. ประจำเดือนมามากผิดปกติ หรือมีก้อนเลือดขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางโตเกิน 3 ซ.ม.ออกมา
          2. ประจำเดือนมาเกิน 7 วัน
          3. มีเลือดออกหลังยกของหนักหรือมีเพศสัมพันธ์(อาจเป็นอาการของมะเร็งปากมดลูกได้)
          4. เลือดประจำเดือนมีกลิ่นเหม็น(อาจเป็นการอักเสบภายในได้)

ได้รับฮอร์โมนเข้าร่างกาย  การได้รับฮอร์โมนมักมีผลกระทบกับประจำเดือนทำให้ประจำเดือนขาดหายได้ เช่น

          1. การรับประทานยาคุมกำเนิดนานๆ บางเดือนอาจไม่มีประจำเดือน
          2. การฉีดยาคุมกำเนิด มักไม่มีประจำเดือนเลย หรือนานๆจะมีประจำเดือนกระปริบกระปรอย

          ทั้ง 2 กรณีถือว่าปกติ แต่หากพบความผิดปกติตามที่ได้กล่าวข้างต้นควรมาพบแพทย์
ฮอร์โมนผิดปกติ   เป็นสาเหตุสุดท้ายที่ทำให้ประจำเดือนมาน้อยหรือไม่ค่อยมา อาจมาจากสาเหตุฮอร์โมนไม่เพียงพอที่จะขับเยื่อบุโพรงมดลูกให้กลายเป็นประจำ เดือน สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากความเครียด อ้วนมากไป ผอมมากไป ทำให้สมองไม่ส่งสารเคมีออกมากระตุ้นการสร้างฮอร์โมนจากรังไข่ ส่วนสาเหตุอื่นที่พบได้คือมีฮอร์โมนเพศชายมากจากโรครังไข่หนา รังไข่ทำงานน้อยจากโรคโลหิตจาง มีเนื้องอกในสมองฯลฯ ส่วนการแก้ไขควรแก้ไขตามสาเหตุ

          - อ้วน ลดความอ้วน
          - ผอม บำรุงเพิ่มน้ำหนัก
          - เครียด ลดความเครียดโดยการออกกำลังกาย ปรับวิธีคิด ฯลฯ
          - ซีด เสริมธาตุเหล็กเพื่อช่วยบำรุงเลือด
          - ขาดฮอร์โมน เติมฮอร์โมนที่ขาด เช่น ถ้าขาดฮอร์โมนเพศหญิงคือ ‘เอสโตรเจน’ อาจรับประทานยาสตรีที่มีส่วนผสมของว่านชักมดลูก เพราะในว่านชักมดลูกจะมีฮอร์โมน ‘ฟีโทสโตรเจน’ จากธรรมชาติ ซึ่งมีฤทธิ์ประเภทเดียวกับฮอร์โมน ‘เอสโตรเจน’ ที่มีในร่างกายผู้หญิง มีสรรพคุณช่วยบำรุงระบบการไหลเวียนเลือด ช่วยให้รอบเดือนมาเป็นปกติ ทำให้สุขภาพดี ผิวพรรณเปล่งปลั่ง มีน้ำมีนวล ดูมีเลือดฝาด แต่หากมีฮอร์โมนเพศชายมากใช้ยาลดฮอร์โมนเพศชาย

          แต่จะรักษาอย่างไรควรต้องไปปรึกษาแพทย์เพื่อให้ได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้องก่อนนะคะ



ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จากผู้หญิงนะคะดอทคอม


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์