นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการสถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ กล่าวว่า
"อาหารเจ" เป็นอาหารที่กินแล้วทำให้เป็นสุข คนที่กินเจจะกลับมาเป็นหนุ่ม-สาวอีกครั้ง แต่หากกินมากไปอาจจะทำให้ร่างกายตุ้ยนุ้ยได้ ดังนั้น กินเจได้ แต่อย่ากินจุ
อาหารเจของจีนนั้นต่างกับอาหารมังสวิรัติของฝรั่งหรือแขก เนื่องจากอาหารเจไม่ได้ให้กินแต่ผักอย่างเดียว เพราะมีผักกลิ่นแรงถึง 5 อย่างที่กินไม่ได้แถมยังให้สามารถกินหอยนางรมได้ ส่วนถ้าเป็นมังสวิรัติของฝรั่งกับแขกนั้น จะไม่แตะต้องเนื้อสัตว์เลย แต่ผลิตภัณฑ์จากสัตว์ก็อาจมีแตะต้องบ้าง ต่างกันไปตามลัทธิความเชื่อ เช่น บางลัทธิให้กินไข่ได้ หรือบางลัทธิให้กินนมได้ แต่บางลัทธิก็ไม่ให้กินผลิตภัณฑ์ที่มาจากสัตว์อย่างสิ้นเชิง
กินเจไม่ให้แก่
แ ต่ สำ ห รั บ วิ ธี กิ น เ จ ไ ม่ ใ ห้ แ ก่ นั้ น .... มีดังนี้ ...
1. หนักกินผัก เช่น คะน้า, บร็อคโคลี, ผักโขม, แครอตหรือฟักทอง แล้วก็ไม่ต้องกลัวว่าจะขาดแป้งเพราะผักเหล่านี้มีแป้งชั้นดีเจืออยู่ และกินวิตามินบี 12 จากอาหารจำพวกธัญพืช
2. ไม่กินขนม เพราะธรรมชาติของคนกินเจจะหิวเร็ว ถ้ากินอาหารเจแท้ๆ จะทำให้เกิดอาการ "ติดแป้ง" อยากกินมื้อต่อไปไวขึ้น
3. เลี่ยงอาหารเจประเภทอมน้ำมัน แต่ถ้าเผลอกินเข้าไปมาก อาจจิบชาจีน หรือชาเขียวช่วยขัดตะกรันไขมันที่เกรอะอยู่ตามลำไส้ช่วยได้
4. หมั่นกินโปรตีนเกษตร,เต้าหู้, ถั่วและงา ให้หนักไว้ โรยข้าวได้ยิ่งดี ถ้าดียิ่งกว่านั้นให้กินหอยนางรม เพราะจะได้ธาตุสังกะสี และน้ำมันดีโอเมก้า 3 บำรุงภูมิคุ้มกัน
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าท่านจะนับถือศาสนาใด การกินให้พอเหมาะ ไม่อิ่มจนเกินไป หรือไม่อดจนคนรอบข้างวุ่นวาย ถือว่าคือการกินด้วยปัญญา