โรคที่มากับ ‘น้ำ’

โรคที่มากับ ‘น้ำ’


1. โรคน้ำกัดเท้า

          
เกิดจากการย่ำหรือแช่ในน้ำ ที่มีเชื้อโรค

          
เป็นโรคที่พบมากที่สุดจากเหตุการณ์น้ำท่วม

          
อาการ

                 - ระยะแรก คันตามซอกนิ้วเท้า ผิวหนังลอกเป็นขุย มีผื่น

                 - ต่อมา ผิวหนังที่เท้าพุพอง

                 - เท้าเปื่อย เป็นหนอง

          
การ ป้องกัน

                 - หลีกเลี่ยงการย่ำน้ำ หากจำเป็นควรใส่รองเท้าบูทกันน้ำ และเมื่อกลับเข้าบ้าน ควรใช้น้ำสบู่ล้างเท้าให้สะอาด เช็ดให้แห้ง

                 - สวมเสื้อผ้าสะอาด ไม่เปียกชื้น


2. ไข้หวัด

          
พบช่วงอากาศเปลี่ยนแปลง ติดต่อได้จากการสัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วย แพร่กระจายจากน้ำมูก น้ำลาย เสมหะ หรือของใช้ของผู้ป่วย

          
อาการ

                 - ครั่นเนื้อครั่นตัว ปวดหัว ปวดเมื่อยตามร่างกาย อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร

                 - มีไข้เล็กน้อย

                 - คัดจมูก มีน้ำมูกใส ไอ จาม

          
หายได้เองภายใน 1 สัปดาห์


3. ไข้หวัดใหญ่

          
เชื้อแพร่กระจายอยู่ในลมหายใจ เสมหะ น้ำลาย น้ำมูก และสิ่งของใช้ของผู้ป่วย

          
อาการ

                 - มีไข้สูง

                 - ปวดเมื่อยตามตัวมาก

                 - ไอ จาม เจ็บคอ มีน้ำมูก คัดจมูก อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร

          
การปฏิบัติตัว

                 - ผู้ป่วยควรใช้ผ้าปิดปากและจมูกเวลาไอ จาม หรือสวมหน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค

                 - ไม่ควรสั่งน้ำมูกแรงๆ เพราะอาจทำให้หูอักเสบได้

                 - กินอาหารที่ย่อยง่าย กินผัก ผลไม้ และดื่มน้ำอุ่นมากๆ

                 - อาบน้ำหรือเช็ดตัวด้วยน้ำอุ่น แล้วเช็ดตัวให้แห้งทันที


4. โรคปอดบวม

          
หากผู้ประสบภัยน้ำท่วมสำลักน้ำ หรือสิ่งสกปรกต่างๆ เข้าไปในปอด ก็มีโอกาสจะเป็นโรคปอดบวมได้ หรือการคลุกคลีกับผู้ป่วย เมื่อไอ จาม หรือหายใจรดกัน

          
อาการ

                 - มีไข้สูง ไอมาก หายใจหอบและเร็ว

                 - บางครั้งหายใจหอบและเร็วจนเห็นชายโครงบุ๋ม เล็บมือ เล็บเท้า และริมฝีปาก ซีดหรือคล้ำ กระสับส่าย หรือซึม

          
เมื่อสงสัยว่าเป็นโรคปอดบวม ต้องรีบไปพบแพทย์ทันที และรับการรักษาในโรงพยาบาล


5. โรคตาแดง

          
ติดต่อกันง่าย โดยเฉพาะเด็กเล็ก ทั้งจากการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย และจากใช้สิ่งของร่วมกับผู้ป่วย เช่น ผ้าเช็ดหน้า หรือจากแมลงวัน แมลงวี่ตอมตา

          
อาการ

                 - หลังจากรับเชื้อ 1-2 วัน จะเริ่มเคืองตา ปวดตา น้ำตาไหล กลัวแสง มีขี้ตามาก หนังตาบวม ตาขาวอักเสบแดง

          
ผู้ป่วยมักหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์ แต่ถ้าดูแลรักษาไม่ถูกวิธี อาจเกิดอาการแทรกซ้อน

          
การปฏิบัติตัว

                 - เมื่อมีฝุ่น หรือน้ำสกปรกเข้าตา ควรรีบล้างตาด้วยน้ำสะอาดทันที ไม่ควรขยี้ตา อย่าให้แมลงตอมตา และไม่ควรใช้สายตามากนัก

                 - หมั่นล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่มากๆ

                 - เมื่อมีอาการ ควรพบแพทย์ เพื่อรับยาหยอดหรือป้ายตา


6. โรคติดเชื้อระบบทางเดินอาหาร

           ติดต่อจากเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย ทางอาหาร น้ำ ที่ปนเปื้อนเชื้อโรค เช่น อาหารที่มีแมลงวันตอม อาหารทิ้งค้างคืนไม่ได้แช่เย็นและไม่ได้อุ่นให้ร้อน

          
ได้แก่


           โรคอุจจาระร่วง

                 - ถ่ายอุจจาระเหลว หรือเป็นน้ำ หรือมีมูกเลือด

                 - อาจอาเจียนร่วมด้วย

           อหิวาตกโรค

                 - ถ่ายอุจจาระเหลวคล้ายน้ำซาวข้าว มีกลิ่นคาว

                 - อาเจียน อ่อนเพลีย

           อาหารเป็นพิษ

                 - ปวดท้องร่วมกับถ่ายอุจจาระเหลว

                 - คลื่นไส้ อาเจียน

                 - อาจจะปวดหัว ปวดเมื่อยตามเนื้อตัว


            โรคบิด

                 - ถ่ายอุจจาระบ่อย มีมูกหรือมูกปนเลือด

                 - มีไข้ ปวดท้อง และมีปวดเบ่งร่วมด้วย


            ไข้รากสาดน้อย หรือไข้ทัยฟอยด์

                 - มีไข้ ปวดหัว ปวดเมื่อยตามตัว

                 - เบื่ออาหาร อาจท้องผูก หรือบางรายอาจท้องเสีย

          
การป้องกัน

                 - ล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำสะอาดและสบู่ทุกครั้งก่อนเตรียมและปรุงอาหาร ก่อนกินอาหาร และหลังการขับถ่าย

                 - ดื่มน้ำสะอาด เลือกกินอาหารที่สะอาด ปรุงสุกใหม่ และเก็บอาหารไว้ในภาชนะที่มิดชิด

                 - กำจัดสิ่งปฏิกูล ขยะ

          
การรักษา

                 - ให้ผู้ป่วยดื่มน้ำหรืออาหารเหลวมากๆ ให้ดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ผสมน้ำตามสัดส่วนที่ระบุข้างซอง (หรือทำเอง คือ น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ เกลือป่นครึ่งช้อนชา ละลายในน้ำต้มสุกที่เย็นแล้ว 1 ขวดกลม)

                 - หากมีอาการมากขึ้น เช่น อาเจียนมาก ไข้สูง ชัก หรือซึมมาก ให้ไปพบแพทย์
                 - ไม่ควรกินยาให้หยุดถ่าย เพราะจะทำให้เชื้อโรคค้างอยู่ในร่างกาย ซึ่งจะเป็นอันตรายมาก



7. โรคฉี่หนู

          
โรคฉี่หนู หรือ เลปโตสไปโรสิส ติดต่อจากหนูสู่คน เชื้อมากับปัสสาวะสัตว์ปนเปื้อนอยู่ในน้ำท่วมขัง พื้น ดินที่ชื้นแฉะได้นาน เมื่อผิวหนังแช่น้ำ เชื้อจะเข้าร่างกายทางบาดแผล รอยขีดข่วน รอยถลอก หรือไช้เข้าเยื่อบุตา จมูก ปาก หรือผิวหนังที่แช่น้ำนาน หรือติดเชื้อจากอาหารที่หนูฉี่รด

          
อาการ

                 - หลังรับเชื้อ 4-10 วัน โดยจะมีไข้สูง
ทันทีทันใด ปวดหัว และปวดกล้ามเนื้อมาก โดยเฉพาะน่อง โคนขา หรือหลัง

                 - บางคนตาแดง อาจเจ็บคอ เบื่ออาหาร หรือท้องเดิน

          
การป้องกัน

                 - สวมรองเท้าบูทยางกันน้ำ หากต้องลุยน้ำ ย่ำโคลน

                 - หลีกเลี่ยงการแช่น้ำ ย่ำโคลนนานๆ เมื่อขึ้นจากน้ำแล้วต้องรีบอาบชำระร่างกายให้สะอาดโดยเร็วที่สุด

                 - รับประทานอาหารที่ปรุงสุก เก็บอาหารในภาชนะที่มิดชิด

                 - ดูแลที่พักให้สะอาด

          
การรักษา

                 - รีบไปพบแพทย์ ถ้าไม่รีบรักษา บางรายอาจมีจุดเลือดออกตามผิวหนัง ไอมีเลือดปน หรือตัวเหลือง ตาเหลือง ปัสสาวะน้อย ซึม สับสน กล้ามเนื้อหัวใจอาจอักเสบและเสียชีวิตได้


8. ไข้เลือดออก

          
มียุงลายเป็นพาหะ

          
อาการ

                 - ไข้สูงตลอดวัน ประมาณ 2-7 วัน

                 - ปวดหัว ปวดเมื่อยตามตัว มักคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง เบื่ออาหาร ส่วนใหญ่ หน้าแดง อาจมีจุดเล็กๆตามลำตัว แขน ขา

                 - ต่อมา ไข้จะเริ่มลง ในระยะนี้ต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะอาจเกิดอาการรุนแรงได้ ผู้ป่วยจะกระสับกระส่าย มือเท้าเย็น หรือเลือดออกผิดปกติ อาจมีภาวะช็อค และเสียชีวิตได้

          
การป้องกัน

                 - ระวังอย่าให้ยุงกัด กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุง

          
การรักษา

                 - รีบพาไปพบแพทย์

                 - ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัว ห้ามใช้ยาแอสไพริน ใช้ยาลดไข้พาราเซตามอล


9. โรคหัด

          
ติดต่อกันได้ง่าย ทั้งการไอ จาม หรือพูดกันในระยะใกล้ชิด พบในช่วงฤดูฝน

          
อาการ

                 - หลังรับเชื้อ 8-12 วัน จะเริ่มมีไข้ น้ำมูกไหล ไอ ตาแดง ตาแฉะ พบจุดขาวเล็กๆขอบแดงในกระพุ้งแก้ม

                 - จากนั้น  1-2 วันแรก ไข้จะขึ้นสูง สูงเต็มที่ในวันที่ 4 เมื่อมีผื่นขึ้น โดยผื่นจะนูนแดงติดกันเป็นปื้นๆ ขึ้นที่ใบหน้าชิดขอบผม แล้วแพร่กระจายไปตามตัว แขน และขา ต่อมาไข้จะเริ่มลดลง ส่วนผื่นจะสีเข้มขึ้นแล้วค่อยจางในเวลา 2 สัปดาห์

                 - ในเด็กที่มีภาวะทุพโภชนาการ หรือในเด็กเล็ก อาจมีโรคแทรกซ้อน เช่น หูอักเสบ หลอดลมอักเสบ ปวด อักเสบ สมองอักเสบ อาจเสียชีวิตได้


           การป้องกัน

                 - ฉีดวัคซีนป้องกัน หลีกเลี่ยงการสัมผัสผู้ป่วย รักษาสุขอนามัย


           การดูแลรักษา

                 - รักษาตามอาการ ถ้าไข้สูงมากควรให้ยาลดไข้เป็นครั้งคราว ร่วมกับเช็ดตัว ไม่จำเป็นต้องให้ยาปฏิชีวนะ


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์