ในอดีต ปอมเปอี (POMPEII) เป็นเมืองชายทะเลอันงดงาม ที่อยู่ริมอ่าวเนเปิลส์ทางตอนกลางของอิตาลี แต่แล้วในปี ค.ศ.79 ภูเขาไฟวีซูเวียส (VESUVIUS) ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเมือง ได้ระเบิดพ่นลาวาอันร้อนแรง รวมทั้งไอก๊าซพิษ และขี้เถ้าลงมาถล่มท่วมทับปอมเปอี ฝังร่างชาวเมืองนับพันคนไว้ทั้งเป็น เป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติ ที่มาเยือนโดยไม่รู้ตัว
สาเหตุการระเบิดมหากาฬของวีซูเวียส เกิดจากการเคลื่อนตัวของเปลือกโลก โดยเปลือกโลกแอฟริกาทางตอนใต้ ได้เคลื่อนขึ้นมาทางเหนือและชนกับเปลือกโลกยูเรเชียน (ยุโรปกับเอเชีย) เมื่อแผ่นหินบดอัดกัน บางส่วนก็จมลงสู่เบื้องล่าง ลึกลงไป...ลึกลงไปสู่ใจกลางโลกที่ยังร้อนจัด จนกระทั่งหลอม
ละลายกลายเป็นลาวาที่เบากว่า แล้วก็พุ่งขึ้นมายังปากปล่อง ก่อความพินาศไปทุกสารทิศ ปอมเปอีที่รุ่งเรืองมายาวนานกว่า 800 ปี ต้องจมหายไปภายใต้ขี้เถ้าที่ตกลงมาทับถมสูงถึง 10 เมตร ภายในชั่วเวลา 2 วัน รายละเอียดของการระเบิดและความพินาศครั้งนี้ ได้มีผู้ที่เห็นเหตุการณ์คือ ไพลนีน้อย (PLINY THE YOUNGER) เขาได้บันทึกไว้และเชื่อว่าผู้อ่านหลายท่านคงได้เคยผ่านตาแล้ว จึงขอข้ามไปถึงเรื่องราวการขุดค้นเมืองนี้ในกาลต่อมา ซึ่งได้พบกับสิ่งที่น่ารู้น่าสนใจหลายประการ ยิ่งกว่าการขุดค้นเมืองโบราณใดๆ ของโลก
ทั้งนี้ เพราะเมืองโบราณทั่วไปนั้น ผู้คนได้ทิ้งเมืองและนำข้าวของมีค่าต่างๆ อพยพติดตัวไปด้วย ไม่เหลือร่องรอยของความเป็นอยู่ให้ได้ศึกษาเท่าใดนัก แต่สำหรับปอมเปอีแล้ว ภัยนี้จู่โจมมาถึงตัวทันที ไม่มีเวลาเก็บสมบัติทัน แม้แต่ตัวเองก็ยังเสียชีวิตในลักษณะอาการที่คงค้างอยู่ในขณะนั้น ทำให้นักโบราณคดีมีโอกาสศึกษาการดำรงชีพของชาวเมืองปอมเปอีได้อย่างสมบูรณ์
ความจริงแล้ว การขุดค้นปอมเปอีมีขึ้นหลัง จากเมืองถูกภูเขาไฟถล่มไม่กี่วัน โดยพลเมืองปอมเปอีเอง นั่นคือผู้ที่หนีเอาชีพรอดไปได้ ได้หวนกลับคืนมาเพื่อสำรวจ ตรวจดูทรัพย์สมบัติของตน แต่อะไรจะเหลือให้เห็นเล่า ไม่ว่า ถนน วัดวาอาราม โรงละคร ตลอดจนที่อยู่ อาศัยทั้งหมด ล้วนจมอยู่ใต้ขี้เถ้าหนา 10 เมตรดังกล่าว บางคนพยายามขุดอุโมงค์ทะลุขี้เถ้า ที่ทับถมเพื่อเข้าไปสู่บ้านของตน เพราะอีตอนรีบหนีอย่างฉุกละหุกนั้น ได้ทิ้งข้าวของมีค่าไว้มากมาย แต่ความยากลำบากในการขุดค้นทำให้พวกเขาต้องท้อถอยยอมแพ้ หากทว่าด้วยความไม่อยากอพยพไปอยู่ที่อื่น
พวกเขาจึงใช้แผ่นดินที่อุดมด้วยปุ๋ยขี้เถ้านั้นทำฟาร์มขนาดใหญ่โต หรือทำไร่องุ่นเสียเลย พอหลายชั่วอายุคนผ่านไป คราวนี้ทุกคนจึงลืมสนิทจริงๆ ว่าพื้นดินเบื้องล่างนั้นเดิมเคยเป็นเมืองอันรุ่งเรืองมาก่อน