นิสัยที่น่าเบื่อ (แต่ก็ต้องทำใจ)

นิสัยที่น่าเบื่อ (แต่ก็ต้องทำใจ)


คนเรามีความนึกคิดที่แตกต่างกัน รวมถึงพื้นฐานจิตใจของแต่ละบุคคลก็แตกต่างกันไปอีกด้วย จึงส่งผลให้ การแสดงออกมีความแตกต่างกันไปแล้วแต่ละบุคคล

นั่นเป็นสัจจธรรมที่พูดง่ายๆ ฟังง่ายๆ แต่เมื่อใครไปเจอพฤติกรรมที่ไม่น่าพึงพอใจของคนบางคนอาจจะทำใจได้ไม่ง่ายอย่างที่พูด การจะปล่อยความคิดของตนเองให้ทำใจว่า นี่เป็นนิสัยของเขา นี่เป็นลักษณะของเขา แล้วทำใจให้ยอมรับกับมัน กลับกลายมาเป็นเรื่องที่ยาก โดยเฉพาะกับคนที่ต้องอยู่ด้วยกัน ทำงานร่วมกัน

คราวนี้มาดูกันว่า ลักษณะนิสัยสุดโต่งแต่ละเรื่อง เราจะจัดการกับคนลักษณะนิสัยต่างๆอย่างนี้ได้อย่างไรดีกว่า...

สอดรู้เรื่องชาวบ้าน ปกปิดเรื่องตนไม่ให้ใครรู้


บางคน ก็ชอบถามไปซะทุกเรื่อง ทำไมคิดอย่างนั้น ทำไมคิดอย่างนี้ บางคนก็ซื่อ ทั้งบอก ทั้งอธิบายวิธีการคิดให้ เผื่อว่าเขาจะได้มีแนวทางในการคิด แต่มากบอกเราว่า "ที่บอกทั้งหมดนะะคิดไปเองหรือเปล่า?" เออ... ทำให้เราต้อง
หวนกลับมาคิดคำพูดของเรา ไอ้เราพูดออกไปก็ตามเหตุผล ตามเนื้อผ้า ซึ่งก็บอกแล้วว่าเป็นความคิดของเราว่า เราคิดอย่างนี้ แล้วทำไมมาบอกอย่างนี้วะ... อะ...อะ.. ไม่เป็นไร ก็เราคิดไปเองจริงๆ

บางคน ว่างๆ ก็เอาเรื่องที่เราเคยคุยไปแล้วกลับมาคุยใหม่ แต่เจาะลึกขึ้นไปเรื่อยๆ แต่ถ้าถามอะไรเขา เขาก็จะเงียบ ทำเหมือนไม่ได้ยิน ต้องย้ำ 2-3 ครั้ง แล้วเขาก็จะตอบเพียงเล็กน้อย หรือไม่ก็ถามกลับมาว่า "แล้วอยากรู้ไปทำไม???" เออเนอะเรื่องของเขาเราอยากรู้ไปทำไม แสดงว่า เราเป็นเสือใส่รองเท้านะเนี่ย... เอ... แล้วที่เขาถามเรา เขาอยากรู้ไปทำไม ทำไมเราไม่ถามเขากลับบ้างนะ...??? ไอ้เรามันไม่ทันเขาเอง... 5555

เจอคนอย่างนี้ก็ควรที่จะถามกลับไปบ้าง แต่บางครั้งอาจจะโดนว่า "ก็ถามก่อน คุณก็ตอบมาก่อนซิ" เออวุ้ย ช่างอยากรู้จริงๆอย่างนี้ก็คงต้องตอบก่อน แต่ให้ทำใจไว้เลยว่า ตอบไปแล้วเขาก็จะบอกว่า "ก็คิดเหมือนกัน" หรือ บ่ายเบีย่งไม่ตอบเลยก็มี... ทางที่ดีก็คุยกับคนเหล่านี้ให้น้อยลงจะดีกว่า...

ใครพูดอะไรไม่ทำตามนั้น แสดงว่า คนนั้นแย่...



บางคนยึดมั่นกับคำพูดบางคำ (โดยเฉพาะคำพูดที่ไม่เห็นด้วย แต่ตัวเองก็ต้องทำตาม) ซึ่ง บางอย่างในสถานการณ์หนึ่ง ก็ต้องใช้วิธีการแก้ไขอย่างหนึ่ง แต่ถ้าอีกสถานการณ์หนึ่ง ก็ควรจะใช้วิธีการแก้ไขที่แตกต่างกันออกไป แต่คนประเภทนี้ ยังผูกใจกับคำพูด และ การที่เขาต้องกระทำตาม ก็จะโวยวาย หรือ ต่อว่ามาเลยก็มี แต่ไม่ฟังเหตุผลใดๆอีก... ช่างเก็บเอาคำพูดที่ไม่ถูกใจเอาไว้นานมากๆ คนประเภทนี้ เป็นคนสั่งสอนได้ยาก ถึงแม้นสอนไปก็หาเรื่องอยู่ดี ทางที่ดีคือ อย่าสอนตรงๆกับคนเหล่านี้ ให้เป็นการสอนทางอ้อมไปถ้าไม่อยากจะเสียความรู้สึกกับคนเหล่านี้

ขี้หงุดหงิด ขี้ใจน้อย



คนขี้หงุดหงิด ขี้ใจน้อย เป็นคนที่น่าสงสารมาก เขาขาดความเชื่อมั่นในตนเองอย่างมาก ผสมกับการเอาแต่ใจตนเอง มีปมด้อยทางจิตใจอย่างมาก ซึ่งน่าจะเกิดจากสิ่งแวดล้อมทางบ้าน ปัญหาทางบ้าน หรือ แม้นแต่การเก็บกดทางด้านอารมณ์และความรู้สึกอยู่บ่อยๆ แต่เมื่อคนกลุ่มนี้เข้ามาอยู่ร่วมกันเป็นทีมงาน เมื่อมีการกระทบกระทั่งกัน คนกลุ่มนี้จะใช้วาจาเชือดเฉีอน กระทบกระเทียบ หรือแม้นแต่ การใช้วาจาแบบตีวัวกระทบคราก คนรอบข้างต่างโดนกันไปทั่ว

คนประเภทนี้ ถ้าทำอะไรไม่ตรงกับความรู้สึกของเขาแล้ว ก็จะแสดงอาการไม่พอใจ งอนไปเลยก็มี เวลาคุยสรุปจึงต้องใช้ความคิดเห็นของกลุ่มส่วนใหญ่เป็นตัวนำในการตัดสิน โดยเฉพาะเพื่อต้องขัดแย้งกับเขา เพื่อให้เขายอมรับความคิดกลุ่ม...

ดื้อเงียบ



แต่ความคิดกลุ่ม ก็ไม่ใช่ความคิดของเขา ซึ่งแน่นอนว่า เขาจะยอมรับความคิดของกลุ่ม แต่ก็จะดื้อไม่ทำตาม จะทำตามที่ตนคิดเห็นว่ามันถูกต้อง จนกว่าตนเองจะรู้ได้เองว่า มันเป็นทางที่ผิด ถึงจะยอมรับ แต่แค่ยอมรับว่าความคิดนั้น คิดนี้อาจจะดีกว่า แต่เวลาที่เสียไปจากการลองผิดลองถูกของเขา เขากลับมองว่า เขาทำงานนะ แต่ไม่ได้ทำงานที่กลุ่มมอบหมายเท่านั้น เขาไม่ผิดที่จะทำตามอย่างที่เขาคิด... (เอาเข้าไป)

ผิดไม่ยอมรับผิด



ถ้ามีเวลา การทำเช่นนั้นก็ไม่ผิดที่จะทดลอง แต่บางเรื่อง บางงานไม่สามารถที่จะรอให้เขาทดสอบ รอให้เขาทดลองได้ ดังนั้น การแก้ไขปัญหาเมื่อเจอคนอย่างนี้ จึงต้องปล่อยวางการทำงานของเขา หาคนมารับผิดชอบงานนั้นๆ เพื่อให้งานสำเร็จลุล่วงในช่วงเวลาเร่งด่วน

ประจบคนที่สูงกว่า



เรื่องนี้เป็นเรื่องปกติของคนทำงานที่ยังไม่มีความมั่นคงในหน้าที่การงาน ทั้งนี้จะพบว่า คนทำงานใหม่ๆ ที่ทะเยอทะยาน อยากที่จะก้าวหน้า อยากที่จะรับผิดชอบสูงๆ จะมีพฤติกรรมประจบคนที่อยู่สูงกว่าตนเอง ด้วยการพูดจายกย่องชมเชย แต่คนฟังจะรับรู้ ความรู้สึกจากคำพูดได้เลยว่า คำพูดเหล่านั้นมาจากใจ หรือ แต่งเติมเสริมขึ้นเพื่อนำมายกยอปอปั้น คำพูดในการยกยอเหล่านั้น ไม่ได้ทำให้ภาพลักษณ์ของเขาดูดีเลย แต่กลับทำให้สื่อความหมายในเชิงลบเสียด้วยซ้ำ และ แปลกตรงที่ ถ้าคนกลุ่มนี้ พอขึ้นมาอยู่ในระดับเดียวหรือเท่ากับคนอื่นๆ ก็จะมีพฤติกรรมตามมาคือ

ยกตนข่มท่าน (ทั้งคนที่ด้อยกว่า หรือ เท่ากัน)



อันนั้นต้องเป็นอย่างนั้น อันนี้ต้องเป็นอย่างนี้ สิ่งที่เขาเสนอถูกต้องหมด ถ้าไม่ทำก็โกรธ ก็งอน อ้าว ก็ข้อเสนอ ไม่จำเป็นต้องทำก็ได้ ไม่ใช่คำสั่งซะหน่อย เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า... จะสั่งเหมือนเพื่อนร่วมงานเป็นลูกน้อง คำของเขาประกาศิต คนอย่างนี้ก็มี ต้องให้เขาไปลองทำตามความคิดของเขาเอง เวลามันเกิดผลอย่างที่คนอื่นเตือน งวดนี้ก็จะเงียบไปสักระยะหนึ่ง... ถ้าเขาเป็นคนพาลไม่นานความเป็นพาลในตัวก็จะเริ่มแสดงออกมาให้เห็นอีก

ฉันเสนออะไรไป เธอต้องทำตามที่ฉันเสนอสิ



ในที่ประชุมก็เช่นกัน คำเสนอในแต่ละเรื่อง ก็เพื่อให้เราทุกคนมีแนวความคิดที่หลากหลายในการแก้ไขปัญหา คำเสนอของใครอาจจะได้นำมาใช้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับเหตุผล ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ณ เวลานั้น แต่ถ้าคนที่คิดว่า ข้อเสนอของฉันเจ๋งสุดๆ ที่ประชุมต้องทำตามฉันสิ ก็จะเริ่มพูดคุยกับคนข้างๆว่า อันนี้นะ เป็นอย่างนั้น อย่างนี้ อธิบายความคิดของตนเองเพื่อให้ได้รับการสนับสนุนแนวความคิด และ ถ้ายังไม่ได้รับการยอมรับจากคนรอบข้าง เมื่อเข้าประชุมทุกครั้งก็จะนำเอาเรื่องที่ยังค้างคาใจ ยกขึ้นมาเป็นประเด็นอีก

ถ้าเธอเสนออะไร แสดงว่าเธอตัดสินใจเองคนเดียว ต้องให้ทีมงานช่วยกันตัดสินใจซิ...!!!



แต่ถ้าใครเสนออะไรแล้ว หัวหน้างานให้ความสำคัญมากๆ บ่อยๆ ก็เริ่มตีรวน และ มีความคิดในเชิง การตัดสินใจของทีมมันต้องออกมาจากทีม เอาความคิดของทุกคนมารวมกัน การที่ที่ประชุมทำตามคนใดคนหนึ่ง เขากลับว่าเป็นความคิดของคนๆเดียว เมื่อเขาทำอะไร สำเร็จสักอย่าง คราวนี้ก็จะกระทบกระเทียบมาเช่น "ถ้าคนๆหนึ่งเก่งอาจจะยกหินได้ใหญ่ แต่ว่าถ้ารวมตัวคนหลายๆคนก็อาจจะยกหินได้ใหญ่กว่า นี่นะงานนี้พวกเราใช้หลักการการร่วมกันทำงาน..." ฟังแล้วก็ตลกดี ได้เห็นเลยว่าเขาคิดอย่างไร เขามองว่า สิ่งที่เขาออกไปแสดงผลงานนั้นเป็นงานของเขา ของคนที่เขาร่วมทำงานด้วย โดยไม่ได้มองเลยว่า งานแต่ละงานนั้นมีงานด้านหลังที่ต้องทำ

งานออกหน้าได้ผลงานก็จะทำ งานหลังฉากไม่มีหน้าไม่มีตาไม่ทำ



ให้ทำงานหลังฉากก็นั่งทำงาน เป็นนาน แต่งานไม่ออก จนต้องให้คนอื่นไปทำ หรือว่า หาเอง หรือไม่ก็ต้องให้เจ้านายสั่งถึงจะมีผลงาน คนแบบนี้มีเยอะ ขอให้ออกหน้า มีชื่อ อย่างนี้เอา แต่ถ้างานใดไม่มีชื่อ ทำงานหนัก ไม่เอา หรือแม้นว่ามีใครถามถึงเพื่อนคนหนึ่งว่า ทำงานใด เมื่อเพื่อนคนนั้นตอบเสร็จ เขาก็จะตอบเพิ่มว่า แผกนนี้ เขาทำงานนั้น ทำงานนี้ด้วยนะ คืองานที่ตนเองรับผิดชอบ (ทำไมถึงกลัวคนอื่นไม่รู้ว่าตัวเองทำงานเหมือนกัน) ถ้างานหลังฉาก ก็จะบอกว่า ไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจ

ฉันทำแค่นี้แหละ ใครจะเอาไปทำอะไรต่อก็เอาไป ฉันเข้าใจว่าฉันนั้นมีหน้าที่แค่นี้ ฉันก็ทำแค่นี้... เรื่องอื่น ฉันไม่รู้ ฉันไม่เข้าใจ ไม่มีใครบอกนี่...



แล้วก็ต้องมีคนทำงานเก็บงานของเขาเสมอๆ กว่างานจะออกมาได้ก็ต้องเสียเวลาไปอีกรอบ สงสัยงานจะไม่ถนัด แต่ก็ไม่ยอมปล่อยงานให้คนอื่นๆหรอก งานนี้ฉันรับผิดชอบ ฉันจะทำอย่างนี้ อย่างนั้นก็รับผิดชอบในการหาข้อมูลละกัน

งวดนี้ก็หาแต่ข้อมูล ที่เกี่ยวข้อง ใช้ได้หรือใช้ไม่ได้ก็อีกเรื่องหนึ่ง จำนวนมากเกินไปให้ตัดทอนก็ไปตัดทอนกันเอาเองละกัน ฉันหาให้แล้ว... ถ้าใครไปเจอคนอย่างนี้ ถ้าเป็นเจ้านายก็คงต้องแจกแจงรายละเอียดให้มากขึ้น เน้นย้ำว่า เขาเข้าใจในหน้าที่ของเขามากน้อยเพียงใด ให้เขาพูด เขียน หน้าที่ของเขาออกมา ไม่อย่างนั้น อาจจะโดนตีรวนตลอด ถ้าเป็นเพื่อนร่วมงานก็คงต้องทำใจ อาจจะโดน โบ๊ยงาน ให้

ยกเอาเรื่องในหนังสือมาคุย มา แสดงตนว่ามีภูมิ มีความรู้ และ หาเรื่องมาต่อว่า



คนบางกลุ่มก็เก่งจัง ชอบอ่านหนังสือ แล้วยกเอาทั้งดุ้นมาคุย มาพูด มากล่าวอ้างว่า คนนั้นเป็นอย่างนั้น คนนั้นเป็นอย่างนี้ เวลาจะต่อว่าใครก็เอาเรื่องๆนั้น เรื่องนี้ยกประเด็นขึ้นมาว่ามันต้องแก้ไขอย่างนั้นอย่างนี้ เหมือนเขาอ่านหนังสือให้ฟังเลย ถ้าไม่ได้อ่านหนังสือที่เขาอ่านมาก่อน คงมองว่าเขาเก่งมากเลย แต่ถ้าใครอ่านหนังสือของเขามาก่อนแล้วแย้ง หรือ บอกว่าหนังสือก็เขียนเหมือนที่เขาพูดเลย ก็จะไม่พอใจ กลุ่มคนพวกนี้มีความคิดว่าคนอื่นโง่กว่าตน อ่านหนังสือมาแล้วก็รู้แจ้ง รู้มากขึ้น แต่ไม่ประยุกต์ในสิ่งที่ตนเองอ่านมาเลยว่า เป็นอย่างไร สามารถนำไปใช้ได้อย่างไร คนในสังคมก็มีเยอะที่เป็นอย่างนี้ ซึ่งก็คงต้องเจอะเจอกันบ้างหละ จะบ่อยหรือไม่บ่อยก็ตาม

คนมักโกรธ ก็ยังคงมักโกรธอยู่วันยังค่ำ แต่ที่แปลกคือ โกรธได้ไม่เลือกที่เลือกเวลา คนอยู่ห้องแอร์จะรู้ว่า การเปิดแอร์ในครั้งแรก มันจะไม่เย็นในทันที ต้องรอทิ้งช่วงเวลาอย่างน้อยก็ 5-10 นาที และ ถ้านานกว่านั้น นั่นแสดงว่า แอร์อาจจะมีปัญหา ตั้งค่าความร้อนมากไป ความเย็นน้อยไป หรือเปล่า ซึ่งแน่นอนว่า ช่วงเวลาเปิดเครื่องไม่สามารถที่จะบอกได้เลยว่า มันจะเย็นหรือไม่อย่างไร ถ้าทุกคนในห้องบอกว่าร้อนแล้วไปปรับ เข้าไปปรับกันทุกคนแล้วคิดว่าเมื่อตนเองปรับแล้วมันต้องเย็นขึ้นเลย

อะไรอยู่ตั้งนานแล้วทำไมไม่แก้ไข ผมแก้ไขอยู่แล้วจะมาช่วยทำไม...



ท่าทางว่า อากาศร้อน จะเป็นตัวเร่งปฏิกริยาของความมักโกรธให้ออกมาให้เห็นเป็นรูปธรรมได้อย่างดีเลยทีเดียว

บางคนก็ติได้ทุกเรื่อง ไม่ว่าเรื่องใหญ่เรื่องเล็ก เพราะมีความรู้สึกว่า การที่เราสามารถติคนอื่นได้นั้น แสดงว่าตนเองมีภูมิรู้ ที่เหนือกว่า มีพฤติกรรมที่ดีกว่า จนกระทั่ง...

คุ้ยขยะ เศษอาหารออกไปทิ้ง แล้วกลับมาต่อว่า คนทิ้งว่าไม่รู้จักทิ้งให้ไกลๆ... พอบอกว่าไม่ต้องคุ้ยขยะหรอกเดี๋ยวเจ้าหน้าที่เขาก็มาเก็บเอาไปแล้ว ก็โกรธ!!!...



พฤติกรรมอย่างนี้ก็มีในโลกนี้ด้วย ถึงกับลงทุนลงแรงคุ้ยถังขยะเพื่อเอามาต่อว่าคนอื่น ทั้งๆที่ขยะก็อยู่นอกที่พัก อยู่ในที่ๆของมัน และถ้าไปบอกว่า อย่าไปคุ้ยขยะเลย เดี๋ยวเขาก็เอาขยะไปทิ้งแล้ว คราวนี้ก็โกรธ บึ้งตึง เพราะตนเองไม่ได้เป็นคนต่อว่าก่อน แต่กลับโดนต่อว่าว่าเป็นคนคุ้ยขยะแทน... แต่เป็นผลดีเหมือนกันเพราะทำให้เขามีพฤติกรรมเช่นนี้น้อยลง ดังนั้น คงต้องเปรียบเทียบให้เห็นว่า ภาพลักษณ์ของการคุ้ยขยะ กับ ภาพลักษณ์ของการทิ้งขยะ มันต่างระดับกัน คนกลุ่มนี้ต้องการความโดดเด่นถึงขนาดยอมลงทุนอย่างนี้เลยก็มี

ไม่ให้ความช่วยเหลือผู้มีพระคุณ



ถ้าคุณไปเจอคนบางคนที่ไม่ยอมช่วยเหลืองานพ่อแม่เลย ก็คงไม่แปลกถ้าเขาขี้เกียจ หรือ เขาไม่มีความสามารถในการทำ แต่ถ้าคุณไปเจอคนมีความสามารถทำงานช่วยเหลือพ่อแม่ได้ แล้วบอกกับพ่อแม่ตัวเองว่า "ก็ก่อเรื่องขึ้นมาเองก็แก้ไขกันเอง เขาไม่รู้เรื่อง ไม่สามารถแก้ไขให้ได้ เวลาเขาจะทำอะไรก็ไม่ให้ทำ เขาเตือนแล้วว่ามันทำอย่างนั้นไม่ได้แน่ๆก็ไม่เชื่อ พออย่างนี้เดือดร้อนแล้วให้เขามาช่วย เขาไม่สามารถช่วยได้หรอก" ถ้าบอกกับคนอื่น มันก็อาจจะเป็นเพราะน้อยใจ แต่บอกกับพ่อแม่ตัวเองอย่างนี้ ดูเหมือนว่าคำว่าพระคุณ มีความหมายน้อยกว่า ความรู้สึกของตนเอง เสียอีก แถมยังภูมิใจว่า เขาสามารถตอกหน้าพ่อแม่ของเขาได้ พูดโทรศัพท์เสียงดัง หน้าตายิ้มแย้มถึงความเสียหายของครอบครัว ถ้าคุณเจอคนอย่างนี้ ก็อย่าไปหวังเลยว่า เขาจะจริงใจในสิ่งที่คุณยื่นให้ ขอแค่เขาไม่ไปด่าเราลับหลังก็ดีถมไปแล้ว ขนาดพ่อแม่เขายังต่อว่า ไม่ช่วยเหลือได้ นับประสาอะไรกับคนภายนอก เจอคนอย่างนี้ต้องระวังให้มากๆ ภายนอกอาจจะดูดี แต่ความเป็นจริงอาจจะไม่ใช่อย่างที่เห็นก็ได้...

ลูกคุณหนู ฟังคนพูดเสียงดังไม่ได้...พูดเสียงดังแสดงว่าโกรธเขา...



คนเราพูดเสียงดังไม่ใช่ว่าจะต้องโกรธเสมอไป แต่ถ้าตัวเองทำผิด เวลาคนอื่นพูดเสียงดัง หรือแค่พูดเสียงปกติก็คิดมาก หาว่าคนอื่นโกรธเขา คนอย่างนี้ช่างเป็นคนขี้น้อยใจอะไรขนาดนี้ ทั้งนี้ถ้าตัวเองทำไม่ดีละก็ห้ามคนอื่นต่อว่านะ แต่ถ้าคนอื่นทำไม่ดีก็ต้องโดนต่อว่า กันไป เจอคนอย่างนี้ถ้าคุณใจเย็นพอก็อธิบายให้เขาฟังสักหน่อย แต่รับรองได้ว่า ถ้าเขาผิด อธิบายอย่างไรว่าเขาผิดเขาก็ไม่ยอมรับอยู่ดี ขนาดปฏิกริยาในการพูดยังเอามาต่อว่าย้อนกลับมาว่า คนพูดกับเขาอย่างนั้นแสดงว่าโกรธเลย... 5555 เจออย่างนี้ต้องปล่อยวางบ้างให้เขาคิดได้ด้วยตัวของเขาเอง...



fw mail

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์