ยาปฏิชีวนะชื่อภาษาอังกฤษคือ Antibiotics เป็นสารที่สกัดจากจุลินทรีย์มีฤทธิ์ในการยับยั้ง การเจริญเติบโตของเชื้อโรคหรือฆ่าเชื้อโรคนั้นๆ แต่เท่าที่ผ่านมาหลายคน ไม่ตระหนักถึงการใช้ยาประเทภนี้ที่ถูกต้อง มักจะทานไม่หมดตามที่แพทย์สั่ง หรือเมื่อป่วยใหม่ก็หยิบมาทาน มันมีผลเสียมากๆ คือทำให้เชื้อโรคมีการดื้อยา หมายความว่าอะไร หมายความว่า ครั้งต่อไปยาปฏิชีวนะนี้ไม่สามารถใช้ได้กับผู้ป่วยนี้แล้ว คือทานไปแต่เชื้อมันดื้อก็ไม่ตาย ถ้าแพทย์ไม่รู้ก็จะสั่งตัวยาเดิมมาให้ ผลคือรักษาไม่หาย แล้วก็ว่าหมอไม่ดี ไม่เก่งไปโน้น แต่ถ้าแพทย์รู้ ก็จะหายาปฏิชีวนะที่มีฤทธิ์รักษาในแต่ละโรคมาให้ แต่อย่างไรก็ตามยาปฏิชีวนะไม่ได้มีมากมายหลายชนิด ดังนั้นข้อแนะนำสำหรับผู้ทานยาประเภทนี้ คือ ต้องทานให้หมดตามที่หมอสั่ง และไม่ควรอย่างยิ่งที่จะไปหายาประเภทนี้มาทานเอง เพราะยาประเภทนี้ทานมากไป ตัวยาก็ทำลายจุลินทรีย์ที่เป็นตัวที่มีประโยชน์และช่วยร่ายกายให้ตายไปด้วย ทำให้ร่างกายอ่อนแอไปอีกกว่าเดิม
ข้อแนะนำสำหรับผู้ทานยาปฏิชีวนะ
1. ยาปฏิชีวนะไม่ใช่ยาลดไข้ หรือแก้ไข้ ต้องให้แพทย์เท่านั้นเป็นผู้สั่ง ถ้ามีการทานยาปฏิชีวนะอื่นอยู่ ให้แจ้งแพทย์ที่กำลังตรวจรักษา
ทราบด้วย
2. ควรรับประทานเวลาท้องว่าง คือก่อนอาหาร 1 ชั่วโมงหรือหลังอาหาร 2 ชั่วโมง เพราะยาชนิดนี้ถูกสลายได้ง่ายด้วยกรดในกระเพาะ
อาหาร
3. ไม่ควรรับประทานร่วมกับน้ำผลไม้ เพราะมีฤทธิ์เป็นกรด การใช้ยากลุ่มนี้อาจเกิดการแพ้ยาได้ง่าย อาการมีตั้งแต่น้อยจนรุนแรงถึงขั้น
เสียชีวิตได้ ผู้ที่เคยแพ้ยาตัวใดควรจำชื่อไว้ให้แม่นยำและแจ้ง ให้แพทย์ทราบทุกครั้ง
4. แม่ที่กำลังให้นมลูก ต้องแจ้งหมอให้ทราบด้วย เพราะยาอาจส่งผ่านไปทางน้ำนมให้ลูกได้ด้วย
5. ยาปฏิชีวนะไม่เป็นยาแก้อักเสบ และยาปฏิชีวนะมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียเท่านั้น ไม่ได้ฆ่าเชื้อไวรัส ถ้ามีเชื่อไวรัสก็ใช้ยา
ปฏิชีวนะไม่ได้ ต้องทำให้ร่างกายมีความแข็งแรงและต่อสู้กับโรคให้หายเอง
นอกจากนี้ แบคทีเรียสามารถขยายการดื้อยา ด้วยการส่งผ่านชิ้นส่วนสารพันธุกรรมไปให้แบคทีเรียอื่นที่อยู่ใกล้กันได้ ดังนั้นเราจึงควรระมัดระวังเรื่องการใช้ยาปฏิชีวนะให้ดีนะคะ หวังว่าเราๆ ทุกคนจะช่วยกันกระจายความรู้เรื่องการใช้ยาปฏิชีวนะ และช่วยกันลดจำนวนผู้ปว่ยที่การดื้อยาปฏิชีวนะได้ เพราะปัจจุบันปัจจุบันประเทศไทยมีอัตราเชื้อแบคทีเรียดื้อยา สูงที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง