สารเคมี เช่น กรดไตรคลอโรอะซิติก กรดไกลคอลิก อาจช่วยลอกผิวหนังส่วนบนทำให้ฝ้าจางลงได้ แต่ต้องระวังข้อแทรกซ้อน เช่น อาจเกิดรอยดำ การติดเชื้อ และแผลเป็น การลอกหน้าทำให้เซลล์ผิวหนังหลุดลอกออกไปเร็วขึ้น ผู้ป่วยที่กินยาคุมกำเนิดไม่ควรลอกหน้า เพราะยาคุมทำให้เป็นฝ้าอยู่แล้ว จะยิ่งทำให้รอยคล้ำหลังลอกเข้มมากกว่าปกติ ผู้ที่เคยเป็นเริมที่ใบหน้า แพทย์อาจให้กินยาต้านไวรัสเริม 2 วันก่อนลอกต่อจนถึง 5 วันหลังลอก เพื่อลดการกำเริบของเริม หลังลอกหน้าต้องหลีกเลี่ยงแสงแดด ทายากันแดด ถ้าผิวลอกเป็นขุยมากอาจทาครีมให้ความชุ่มชื้น ถ้ามีการติดเชื้อหรือการกำเริบของเริม ต้องรีบกลับมาพบแพทย์ วืธีนี้จะเร่งการขจัดเซลล์ชั้นหนังกำพร้าให้ลอกหลุดเร็วขึ้น ได้ผลสำหรับฝ้าและกระที่อยู่ในชั้นตื้น ๆ สำหรับข้อดีของการกรอผิวด้วยผงขัด โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับการขัดหน้าชนิดลึก (dermabrasion) ที่เคยนิยมในยุคก่อน คือ การกรอผิวด้วยผงขัดไม่ต้องอาศัยการดมยา เทคนิคนี้ไม่เจ็บ ทำซ้ำได้บ่อย ทำง่าย และรวดเร็ว ผู้ป่วยกลับไปใช้ชีวิตปกติได้ทันที อย่างไรก็ตามการกรอผิวด้วยผงขัดมีข้อด้อย คือ ต้องทำซ้ำหลายครั้ง และผลการรักษามีประสิทธิภาพน้อย ข้อแทรกซ้อนของการกรอผิวด้วยผงขัดคือ อาการตาแดง กลัวแสง และน้ำตาไหล การกรอผิวด้วยผงขัดเพียงอย่างเดียวไม่ค่อยได้ผลในการรักษาฝ้า เพราะเทคนิคนี้ช่วยแค่ทำให้เม็ดสีในเซลล์ผิวหนังหลุดลอก การใช้ความเย็นจัด เป็นเทคนิคที่ใช้รักษาโรคผิวหนังหลายอย่าง พบว่าเซลล์ผิวหนังแต่ละชนิดถูกทำลายที่อุณหภูมิแตกต่างกัน คือ เซลล์ผิวหนัง (keratinocytes) ถูกทำลายที่อุณหภูมิ -50 องศาเซลเซียส ส่วนเซลล์สร้างเม็ดสี (melanocytes) ไวต่อความเย็นมาก ถูกทำลายที่อุณหภูมิเพียง -5 องศาเซลเซียส จึงมักพบผิวเป็นรอยขาวเมื่อใช้ความเย็นจัดในคนผิวสีเข้ม ใช้เทคนิคความเย็นจัดรักษาฝ้า แต่ต้องระวังข้อแทรกซ้อนที่มีได้ตั้งแต่ ข้อแทรกซ้อนเฉียบพลัน ได้แก่ อาการปวดศีรษะ เจ็บแผล และเกิดตุ่มน้ำบริเวณที่ทำ ข้อแทรกซ้อนที่เกิดตามมา คือ มีเลือดออก ติดเชื้อ ข้อแทรกซ้อนที่เป็นอยู่ได้นาน คือ ผิวเป็นรอยดำ และมีการเปลี่ยนแปลงของการรับความรู้สึก ส่วนข้อแทรกซ้อนถาวร ได้แก่ ผมร่วง ผิวฝ่อ แผลเป็นคีลอยด์ แผลเป็น ผิวเป็นรอยขาว และเกิดเปลือกตาปลิ้น เมื่อ พ.ศ. 2536 มีงานวิจัยของคณะแพทย์ญี่ปุ่นระบุว่าใช้เทคนิคไอออนโตของวิตามินซีมารักษา ฝ้าและรอยดำจากการเกิดผื่นแพ้สัมผัส ทำให้รอยดำเหล่านี้จางลงได้บ้าง และช่วยให้ผิวหนังสดใสขึ้น มีงานวิจัยของแพทย์เกาหลีที่ยืนยันว่าการทำไอออนโตด้วยวิตามินซีช่วยรักษา ฝ้าได้จริง วิธีไอออนโตจัดเป็นเพียงเทคนิคเสริมในการรักษาฝ้า และในปัจจุบันยังไม่มีวิธีใด ๆ ที่จะรักษาฝ้าให้หายขาดได้ ผู้ที่ใช้เครื่องกระตุ้นการเต้นของหัวใจ ผู้ที่มีประวัติแพ้ยาตัวที่จะนำมาทำไอออนโต ผู้ที่มีบาดแผลที่ผิวหนัง หรือผิวหนังติดเชื้อบริเวณที่จะทำ และผู้ที่มีประวัติโรคลมชัก ห้ามรับการทำไอออนโต ยังไม่นิยมใช้เทคนิคฉายแสงในการรักษาฝ้า เพราะมีราคาสูง ผลการรักษายังไม่แน่นอน กลับเป็นซ้ำเมื่อหยุดการรักษา และอาจเกิดข้อแทรกซ้อนที่ใช้กันเช่น เลเซอร์และแสงความเข้มสูง (IPL) เทคนิคนี้มีข้อแทรกซ้อน คือ อาการเจ็บปวด ผิวแดง บวม และรอยดำหลังการอักเสบ สารพัด เทคนิคเสริมเพื่อรักษาฝ้าที่กล่าวไปแล้ว ส่วนใหญ่เป็นวิธีที่มีค่าใช้จ่ายสูง ไม่สามารถรักษาฝ้าให้หายขาดไม่กลับเป็นซ้ำ และอาจมีผลแทรกซ้อนได้ จึงควรเลือกใช้ตามความเหมาะสม และต้องเข้าใจว่ายังไม่มีวิธีใดที่รักษาฝ้าให้หายขาด และไม่กลับเป็นซ้ำตลอดชีวิตได้
นอกจากการใช้ยาทารักษาฝ้าที่มีทั้งยาสูตรหลักที่ใช้กันมานาน และยาหรือครีมทารักษาฝ้าด้วยสารใหม่ ๆ ตามที่ได้กล่าวไปแล้ว ยังมีเทคนิคเสริมเพื่อรักษาฝ้าหลายอย่างคือ
1. การลอกหน้าด้วยสารเคมี
2. การกรอผิวด้วยผงขัด (microdermabrasion)
3. การใช้ความเย็นจัด (Cryotherapy)
4.การใช้เทคนิคประจุไฟฟ้า(iontophoresis)
5. การใช้เทคนิคฉายแสง (Phototherapy)
สารพัดเทคนิคเสริม… เพื่อรักษาฝ้า
ขอบคุณข้อมูลจาก : FW
เครดิต :
ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!