เคยมีอาการแบบนี้บ้างไหม
ปวดหลัง ปวดไหล่ ปวดคอ ปวดข้อมือและข้อนิ้วมือ หมอนรองกระดูกเคลื่อน ปวดตา เคืองตา คันตา ตาพร่ามัว เห็นภาพซ้อน ตาแห้ง น้ำตาไหล ตากระตุก ปวดศีรษะ สมองตื้อ มึนงง ฯลฯ
หลากหลายอาการที่กำลังฮิตในกลุ่มมนุษย์ออฟฟิศที่ทั้งวันต้องนั่งจ้องคอมพิวเตอร์ จดจ่อกับเอกสารบนโต๊ะ ไหนยังต้องแจ๊กพอตนั่งในห้องประชุมเป็นเวลานานๆ ไม่ได้ยืดเส้นยืดสาย เป็นสัญญาณว่าถึงเวลาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพด้วยเทคนิคการดูแลโครงสร้างร่างกายให้สมดุล
โครงสร้างร่างกายนั้น หมายถึง ระบบกระดูก กล้ามเนื้อ ข้อต่อ เส้นเอ็น เส้นประสาท เส้น เลือด ระบบน้ำเหลือง ระบบเหล่านี้ถือเป็นเสาหลักของร่างกายที่ช่วยค้ำจุนให้อวัยวะต่างๆ ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ในทางตรงกันข้ามหากปล่อยความเจ็บปวดไว้จนเป็นปัญหาเรื้อรัง ดูแลไม่เหมาะสม จนทำให้โครงสร้างร่างกายผิดปกติ ระบบการทำงานของอวัยวะต่างๆ ก็ด้อยศักยภาพลง จนอาจก่อเกิดโรคร้ายแรงได้ในที่สุด
สถาบันปรับโครงสร้างร่างกายอริยะแนะนำ 10 เทคนิคสำหรับหนุ่มสาวออฟฟิศเพื่อหลีกหนีให้ห่างไกลจากโรค "ออฟฟิศซินโดรม"
สาว-หนุ่มบอกลา ออฟฟิศซินโดรม
1. นั่งทำงานและใช้คอมพิวเตอร์อย่างปลอดภัย นั่งหลังตรง หลังแนบติดเก้าอี้ ลำตัวเป็นมุมฉากกับขาช่วงบน ขาช่วงบนเป็นมุมฉากกับขาช่วงล่าง เท้าทั้งสองวางแนบกับพื้นพอดี จอคอมพิวเตอร์ควรอยู่ระดับสายตาพอดี มือ แขนช่วงล่าง และคีย์บอร์ดอยู่บนแนวระนาบเดียวกัน ปล่อยไหล่เป็นธรรมชาติขณะพิมพ์งาน ระยะห่างสายตาและหน้าจอประมาณ 2 ฟุต ปรับความสว่างหน้าจอให้เท่ากับความสว่างจากภายนอก อย่าให้มีแสงจ้าเข้าทางด้านหลังผู้ใช้งาน และอย่าลืมพักสายตาบ่อยๆ
2. นั่ง ไม่นั่งไขว่ห้าง กอดอก หลังค่อม
3. ยืน ไม่ยืนลงน้ำหนักบนขาข้างเดียว หรือยืนแอ่นพุง หลังค่อม
4. นอน ไม่นอนขดตัวหรือนอนตะแคงนานๆ โดยไม่มีหมอนข้างช่วย
5. รองเท้า ไม่ใส่ส้นสูงเกินนิ้วครึ่ง
6. กระเป๋า ไม่สะพายกระเป๋าหนักข้างเดียว หรือหิ้วของหนักด้วยนิ้วบ่อยๆ
7. ตา ไม่เล่นเกม หรือทำงานหน้าคอมพิว เตอร์นานเกินไป ไม่อยู่กลางแดดจ้าหรือที่มีฝุ่น-ลมมากเกินไป
8. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ อย่างน้อยวันละ 30 นาที
9. พัก-ผ่อน พักและบริหารสายตาด้วยการกะพริบตาถี่ๆ 10 ครั้ง ทุก 30 นาทีที่ใช้คอมพิว เตอร์ ยืดเส้นยืดสายเปลี่ยนอิริยาบถบ่อยๆ หยุดคิดหยุดเครียดด้วยการตามลมหายใจเพื่อพักสมองเป็นช่วงๆ
10. อาหาร กินอาหารหลัก 5 หมู่ที่หลากหลายครบถ้วน และบอกลาอาหารขยะ
การมีสุขภาพดีของหนุ่มสาววัยทำงานไม่เพียงจะช่วยให้ห่างไกลโรคภัยต่างๆ แต่ยังทำให้คุณหนุ่มๆ สาวๆ ดูสวย ดูหล่อ ดูดี และดูอ่อนกว่าวัย
พ.ญ.พักตร์พิไล ทวีสินแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้าน Anti-Aging กล่าวว่า การดูแลสุขภาพแบบองค์รวมเพื่อช่วยชะลอความเสื่อมความชรานั้น คือการดูแลไลฟ์สไตล์ให้เหมาะสมต่อการมีสุขภาพดีดังนี้
อาหาร ควรรับประทานให้ครบ 5 หมู่ เน้นผักสด ผลไม้ ธัญพืช เลี่ยงอาหารแปลงสภาพ อาหารสำเร็จรูปที่มีไขมันอิ่มตัวและไขมันดัดแปลง ดื่มน้ำสะอาดวันละ 8 แก้ว หลีกเลี่ยงน้ำตาล กาเฟอีน หรือกาแฟมากกว่าวันละ 1 แก้ว เลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด ออกกำลังกาย ให้มีการเคลื่อนไหว ใช้แรงงาน เดินไปเดินมาวันละ 10,000 ก้าว หรือออกกำลังกายจริงๆ สัปดาห์ละมากกว่า 3 ครั้ง
เอนหลัง พักผ่อนนอนหลับให้ได้วันละ 7-9 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ เสริมสร้างภูมิต้านทาน รักษาสมดุลของฮอร์โมน
อารมณ์ มีความสุขกับการใช้ชีวิตในแต่ละวัน มองโลกในแง่ดี คิดเป็นบวก หากจิตตกคิดลบ มีความเครียดมากจะทำให้เกิดโรคต่างๆ ตามมา เพราะความเครียดนั้นจะทำให้สมดุลของฮอร์โมนเสีย เกิดการติดเชื้อและมีโรคร้ายแทรกได้ง่าย
ควรหาเวลาผ่อนคลายอารมณ์ ทำงานอดิเรก ออกกำลังกาย ฟังเพลง หรือการใช้อโรม่าและสปาบำบัด การนั่งสมาธิ สวดมนต์ภาวนาก่อนนอนแค่ 3-5 นาที จะช่วยให้จิตใจสงบ มีความสุข สุขภาพที่ดีก็จะตามมา
ด้าน น.พ.วรพจน์ ศิรามังคลานนท์ แพทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง จากเฮอร์ทิจูด คลินิก กล่าวว่า Anti-aging เป็นศาสตร์ทางการแพทย์ ที่ช่วยให้เรามีสุขภาพดีและแข็งแรง เป็นการโปรโมตสุขภาพของเราไม่ให้ล่วงเลยไปตามวัย เช่น ในเรื่องของผิวหนัง มีการกระตุ้นผิวทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอ หรือการใช้ฮอร์โมนในการรักษาเพื่อไม่ให้ผู้หญิงดูแก่เกินวัย ผู้ชายที่อายุมากขึ้นก็มีการให้ฮอร์โมนทดแทนในเพศชายเพื่อให้ผู้ชายยังแอ๊กทีฟอยู่ได้ มีสุขภาพที่แข็งแรง
แต่ปัจจุบันมีการเอามารวมกัน แล้วแยกเป็น Anti-aging เกี่ยวกับผู้หญิง เกี่ยวกับผู้ชาย เกี่ยวกับผิวหนัง เกี่ยวกับสปอร์ต การออกกำลังกายให้เห็นชัดเจนขึ้น อย่างไรก็ตาม ศาสตร์นี้ในแง่ของเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมมีข้อควรระวังอยู่หลายประการ เนื่องจากในปัจจุบันเมื่อ Anti-aging เป็นศาสตร์ใหม่ที่คนสนใจกันมาก ทำให้มีคนมุ่งแสวงหาผลกำไร ผลการวิจัยต่างๆ จะออกมาทุกวัน บางอย่างออกมาแล้วเป็นมาตรฐานใช้รักษาซึ่งมีความปลอดภัย แต่บางอย่างออกมาใหม่ๆ แล้วยังไม่มีใครรับรอง
จึงอยากเตือนไว้ว่า Anti-aging เป็นศาสตร์ใหม่ที่น่าสนใจ สามารถพัฒนาให้เจริญก้าวหน้าต่อไปในอนาคตได้มาก แต่การจะตัดสินใจรักษาด้วย Anti-aging ใดๆ ควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อน