ใครบางคนรำพึงให้ ได้ยินว่า “ความสุข อยู่แค่เอื้อม” ฟังดูความ สุขช่างอยู่ข้าง ๆ กาย เหมือนดอกไม้ที่เพียง แค่เอื้อมมือออกไปไขว่ คว้าเด็ดมาดมดอมก็ หอมหวนชวนฝัน
บางครา กวีจึงเอ่ย ว่า คนเราควรเบิกบาน กับเรื่องเล็กๆน้อย ๆ รอยยิ้มของเด็กทารก และดอกไม้ดอกหญ้าที่ อยู่ริมทาง ถ้าความสุข อยู่แค่เอื้อมแล้ว เคยสงสัยไหมว่าทำไมหลายคนจึงเอื้อมไปไม่ถึง
ถ้าความสุขเหมือนดอกไม้ที่ปลายกิ่ง การที่เราพบเห็นและพยายามเอื้อมให้ถึงก็ คงจะแตกต่างกัน ระหว่างต้นไม้ที่อยู่ข้าง หน้าต่างบ้านเรา เราผู้เป็นเจ้าของกับต้นไม้ ที่อยู่ริมรั้วของผู้อื่น
ถ้าดอกไม้นั้นเป็นของเพื่อนบ้าน จะ เอื้อมคว้าได้อาจต้องร้องขอ รอคุย หรือ ได้รับอนุญาตเสียก่อนจึงจะเสพย์สุขได้ ถ้า หมายใจขโมยเอื้อมไปเด็ดมา ปัญหาอื่นๆก็ อาจจะตามมา หลังจากความสุขที่ว่าถึงมือ เพียงไม่กี่ชั่วนาน
ถ้าต้นไม้นั้นยืนต้น ดอกนั้นจะร่วงหล่น และออกดอกใหม่ ผลไม้จะทยอยตามออก มาเป็นฝักเป็นช่อ ถ้าไม้นั้นเป็นเพียงพืช ล้มลุก ดอกไม้ก็จะเหี่ยวเฉาในไม่ช้า ต้นนั้น จะล้มพับกลับคืนสู่ดินในเวลาสั้น ถ้าความสุข เป็นเช่นนั้น เราก็คงจะพบเห็นความแตกต่าง ระหว่างความสุขที่ยืนยาวกับความสุขที่ผ่านแวบ
แม้คนที่อยู่ใกล้ดอกไม้ ถ้าวันนั้นเขา เป็นหวัด การสูดดมก็คงจะขาดกลิ่น ถ้าป่วย หนักตับแข็ง ไตอ่อนแอ ต่อมไทรอยด์อักเสบ ความสุขแม้เปรียบเช่นดอกไม้ แต่มีกี่คน อยากเห็นมันในแจกันของโรงพยาบาล ยิ่ง ดอกไม้ที่มากับพวงหรีด แม้ไม่อาจปฏิเสธ การรับการให้ แต่มีใครอยากได้ อยากชื่นชม แม้ราคาแพงระยับ ความสุขจึงซับซ้อน ซ่อนปม
ใครบางคน ผู้เลือกลงมือเพาะหว่าน และเห็นต้นไม้งอกงามจนถึงวันที่มีดอก ออกผล คนที่ปลูกมัน เป็นเจ้าของ ยังไม่ ทันจะเอื้อม แค่เห็นก็อาจจะมีสุข การปลูก ดอกไม้อาจนำความสุขมาให้บางคนมาก กว่าการเด็ดดอกไม้ ความสุขที่เกิดจากการ สร้างอาจมีคุณค่าและสุขใจมากกว่าความสุข จากการเสพย์ หรือเพราะเรียนรู้จักการสร้าง การเสพย์จึงสมบูรณ์อยู่ในการสร้างนั้น
ในวัยเยาว์ เราเผลอไผลคิดไปว่าความ สนุกกับความสุขเป็นสิ่งเดียวกัน ยามเติบโต เราเข้าใจว่าความ สนุกย่อมผ่านพ้นไป ได้ง่ายๆ แต่เราก็ยัง สับสนระหว่างความ เบิกบานเล็กๆน้อยๆ กับความสุขที่ยิ่ง ไปกว่า
ทำไมเราจึงเห็นว่าบางคนเลือกทำงานที่ น่าจะทนทุกข์อยู่ท่ามกลางแดดกล้าด้วย ใบหน้าที่อิ่มเต็ม และบางคราคนที่หัวยุ่งฟู ก็ดูมีความสุขในแววตา นั่นเพราะว่าเขา หลอมรวมตัวตนกับเนื้องาน และสุขผ่าน อากัปกิริยาที่ดูน่าเหนื่อยหน่าย แตกต่างกับ คนที่แสวงหาความสุขบนความสนุกความ บันเทิง และจบลงเมื่อความบันเทิงนั้นหมด วาระ เพราะต้องหาความบันเทิงอื่น ๆ มา เชื่อมต่อกันร้อยเรียงเพื่อรักษาความสุกๆดิบๆ ของชีวิตไปวันๆ สูญเสียพลังและทรัพย์สิน กระทั่งเวลาสุดท้าย เมื่องานเลี้ยงเลิกรา ความบันเทิงหมดห้วง ความสุขก็หดหายไป พร้อมกับร่างกายและจิตใจที่อ่อนล้า
แม้ความสุขจะอยู่ข้างกาย แต่ความสุข ก็ต้องการทักษะบางประการจึงจะเสพย์รับ มันได้ แม้มันนั่งนิ่งๆอยู่ตรงหน้า หากไม่ ละเอียดพอก็อาจจะไม่ได้พบเห็น มิไยความสุขจะวิ่งตามมา แต่บางคราบางคนก็ เดินหนีมันเสียอย่างนั้น ความละเอียดอ่อน บางประการ เช่น การเล่นดนตรี จะให้ดีมีสุข ก็ต้องผ่านทักษะพื้นฐาน ต้องผ่านช่วงฝึกฝน และผ่านพ้นช่วงเรียนรู้ จึงจะเข้าสู่ห้วงขณะ ที่ลื่นไหลไปกับการเล่น
ทักษะในการมีความสุขต้องเป็นสิ่งที่ ฝึกฝน คนไม่อ่านหนังสือจะให้ซาบซึ้ง วรรณกรรมวรรณคดีเหมือนคนที่อ่านมานาน ก็คงยาก จะให้เปิดดนตรีไพเราะโดยที่ไม่ได้ ฝึกฝนการฟังมาก็คงลำบาก จะให้ดูงานศิลปะ แล้วพบเห็นความงามอิ่มเอิบก็คงไม่ง่าย เหมือนสั่งอาหารมากิน คนจำนวนมากจึง มักจะเสพย์สุขอย่างฉาบฉวย มักง่ายกับชีวิต บ้างสุขกับการกินแล้วต้องมาทุกข์กับการ รักษาพยาบาล เพราะสิ่งที่กินนั้นมันส่งผล ต่อสุขภาพ ย่อมยากจะดำรงความสุขไว้ได้ ในร่างกายที่ป่วยช้ำ
ความสุขจึงน่าจะเป็นภาวะที่สอดคล้อง ร้อยต่อเหมือนห่วงโซ่ พร้อมที่จะขาดห้วง ขาดช่วงเมื่อเราดำเนินชีวิตที่ผิดพลาด เรา อาจจะเดินเล่นและพบความสุขอยู่สองข้าง ทาง แต่ในขณะเดียวกัน อาจจะเหยียบจุดที่ ลื่นจนล้ม หรือโดนหมากัดจากการเดินเล่น ก็ได้ ขึ้นอยู่กับห่วงโซ่ที่ร้อยต่อชีวิตและสังคม รอบข้าง
บางครายิ่งไขว่คว้า เปิดประตูหมายรับ สุข แต่ความทกุข์ กลับมานั่ง รออยู่แทน อยากเด็ดดอกไม้อาจโดนแมลงที่จับจองกัดต่อย บ้างก็ติดกับดักคำพูดสวย ๆ ง่าย ๆ สบาย ๆ
ถ้อยคำเอ่ยง่ายๆจำพวก “ปลง, ไม่ยึดติด, คิดบวก, ปล่อยวาง” คำพูดง่ายๆเหล่านี้ แท้จริงแล้วมิได้ปฏิบัติง่ายเหมือนพูด คนที่ จะไม่ยึดติดทรัพย์สินเงินทองหรือของรักของ หวงนั้น ใช่ว่าทำได้ง่ายดายเหมือนคำพูด
คนจะปลงได้ต้องฝึกจิตฝึกใจ คนจะปล่อย วางต้องผ่านกระบวนการฝึกชีวิต การไม่ยึด ติดนั้นยากเหลือแสน อาจต้องขัดเกลาตัวตน ทุกๆวัน พอถึงเวลาจะปลงจึงปลงได้ ดังนั้น หลายคนจึงทุกข์ทนทุรนทุรายเพราะไม่ได้ ฝึกจิตมาก่อน ฝึกแต่พูด พอถึงเวลาใช่ว่าจะ ปลงง่าย จะปล่อยได้
ความสุขอาจอยู่แค่เอื้อม แต่หลายคนก็ เอื้อมไม่ถึง บางคนเมื่อเอื้อมมาได้ยังต้องใช้ปัญญาว่าจะนำดอกไม้ใส่ไว้ในแจกัน หรือส่ง มอบให้ใครต่อไป อาจเลือกส่งต่อเพราะหวัง ว่ารอยยิ้มจากริมแก้มของคนรักจะนำความ ชุ่มชื่นมาให้ ยิ่งกว่าดอกไม้หลายเท่านัก
แท้จริง ถ้าเรางอกร่างกางกิ่ง เรียนรู้ที่ อยู่กับธรรมชาติรอบกาย ร่วมเป็นหนึ่งใน การปลูกและปันแปลงจิตให้เป็นคล้ายต้นไม้ ถึงเวลาก็ออกดอกส่งกลิ่น ยินดีกับการเกิดดับ ของตน สลายตัวตนจนเป็นหนึ่งเดียวกับสิ่ง รอบ ๆ กายได้ ความสุขก็อาจไม่ต้องเอื้อมคว้า เพราะความสุขกลับกลายเป็นงอกออกมา จากปลายกิ่งของสิ่งที่เรากระทำ
เมื่อความสุขไม่ต้องไขว่คว้า แต่ได้มา โดยธรรมชาติเฉกเช่นกิ่งไม้ที่ไม่ต้องไขว่คว้า หาดอกไม้ ความสุขแม้ยังไม่ต้องเอื้อมกลับ ยิ่งหอมชื่นใจ
ขอบอคุณที่มา :: Reader's Digest