ทะเล ทรายคือดินแดนส่วนหนึ่งของผิวโลก ที่แห้งแล้งจัดจนพืชและสัตว์ไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ หรือแม้กระทั่งคนก็แทบจะอาศัยอยู่ไม่ได้เช่นกัน เพราะมีแต่ความร้อนและเนินทรายเท่านั้นเอง
สภาพ การไร้ฝนและอุณหภูมิที่ร้อนจัดในทะเลทราย มีผลทำให้ความชื้นสัมพัทธ์ของอากาศเหนือทะเลทรายเกือบเป็นศูนย์ตลอดปี และถึงแม้ในบางเวลาจะมีฝนตกในทะเลทรายบ้างก็ตาม แต่อากาศที่ร้อนจัดได้ทำให้น้ำฝนระเหยหาย ไปก่อนที่เม็ดฝนจะตกถึงพื้นทราย ยกเว้นกรณีที่เป็นห่าฝน ซึ่งเมื่อตกถึงทรายแล้วน้ำก็จะไหลซึมลงไปใต้ดินกลายเป็นน้ำ บาดาลสู่โอเอซิส (oasis) ซึ่งเป็นแหล่งน้ำที่อุดมสมบูรณ์กลางทะเลทรายในที่สุด โลกมีทะเลทรายหลายแห่งทะเลทรายที่มีชื่อเสียงได้แก่ ทะเลทราย Sahara ที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของทวีปแอฟริกา ทะเลทราย Gobi ในมองโกเลีย ทะเลทราย Turkertan ในรัสเซีย Great American Desert ในอเมริกา และ Patagorian ในอาร์เจนตินา เป็นต้น ลักษณะทั่วไปทางภูมิศาสตร์ของทะเลทรายก็เช่นเดียวกับพื้นที่ส่วนอื่นๆ ของโลกคือ มีภูเขา ที่ราบ และเนินทราย (dune) ซึ่งเนินทรายนี้อาจสูงถึง 300 เมตร และเคลื่อนที่ได้ในอัตราเร็วปีละ 10 เมตร เพราะเวลาลมทะเลทรายพัด แต่ถ้าลมพัดแรงภูเขาทรายก็อาจเลื่อนได้ไกลถึง 20 เมตรในหนึ่งวัน และเมื่อภูเขาทรายเคลื่อนที่ถึงสิ่งใด มันก็จะถมทับสิ่งนั้นจนหมดสิ้น และเนินทรายจะมีรูปร่างอย่างไรนั้น ก็ขึ้นกับพลศาสตร์ระหว่างลมและทราย แต่ถึงกระนั้นความเอียงของทุกเนินทรายก็ไม่เคยเกิน 32 องศา
อุณหภูมิของอากาศเหนือทะเลทรายแต่ละแห่ง ตามปกติจะไม่เท่ากัน ขึ้นกับว่าทะเลทรายตั้งอยู่ที่ใดของโลก การแทบจะไม่มีเมฆในท้องฟ้าทำให้ทะเลทรายได้รับแสงแดดจากดวงอาทิตย์ตรงๆ อุณหภูมิของอากาศเหนือทะเลทรายจึงอาจสูงถึง 65 องศาเซลเซียส แต่ในเวลากลางคืน เพราะทรายคายความร้อนได้เร็ว อุณหภูมิของอากาศอาจลดต่ำถึง 25 องศาเซลเซียสได้ ความแตกต่างที่ มากระหว่างอุณหภูมิของอากาศในเวลากลางวัน และกลางคืนนี่เองที่เป็นสาเหตุทำให้ในทะเลทรายมีพายุพัดรุนแรง ซึ่งนักท่องทะเลทรายมักจะพบว่าพายุทรายนั้นพัดรุนแรงมากและเกิดบ่อย นอกจากเหตุผลด้านอุณหภูมิแล้ว ลักษณะภูมิประเทศทั่วไปและตำแหน่งของทะเลทรายบนโลกก็มีส่วนในการกำหนดความ เร็วของลม สถิติความเร็วของลมทะเลทรายมีสูงถึง 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ความเร็วที่สูงเช่นนี้สามารถพัดพาเม็ดทรายและฝุ่นละอองไปตกได้ในที่ไกลๆ เช่น พายุทะเลทรายในออสเตรเลีย อาจจะหอบทรายไปตก ในนิวซีแลนด์ที่อยู่ไกลออกไป 2,400 กิโลเมตร หรือพายุทรายใน Sahara อาจหอบทรายไปตกทางตอนเหนือของยุโรปได้สบายๆ
กำเนิดทะเลทราย Sahara
ทะเล ทราย Sahara ซึ่งเป็นทะเลทรายที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ที่สุดในโลกคือ มีเนื้อที่ประมาณ 9.3 ล้านตารางกิโลเมตร (ใหญ่เท่าอเมริกาทั้งประเทศ) และตั้งอยู่ทางตอนเหนือของทวีปแอฟริกา มี อาณาเขตทิศตะวันตกจดมหาสมุทรแอตแลนติก ทิศตะวันออกจดทะเลแดง ทิศเหนือจดภูเขา Atlas และทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและทิศใต้จดเส้นละติจูด 15 องศาเหนือ โดยมีประเทศ Tunisia, Chad Libya, Algeria, Sudan, Niger และ Egypt ตั้งอยู่รายรอบ อุณหภูมิของอากาศทะเลทรายในเดือนกรกฎาคม โดยเฉลี่ยแล้ว สูงประมาณ 32 องศาเซลเซียส และอุณหภูมิในเดือนมกราคมโดยเฉลี่ย สูงประมาณ 20 องศาเซลเซียส สถิติอุณหภูมิสูงสุดในเวลากลางวันเท่ากับ 57 องศาเซลเซียส เนินทรายที่สูงที่สุดในโลกก็คือ สูงถึง 465 เมตร ตั้งอยู่ในทะเลทราย Sahara นี้ที่ Isaouane – N – Tifernine ใน Algeria ลมพายุใน Sahara ที่พัดแรงและมีชื่อเสียง เช่น ลม Sirocco และ Khamsin เป็นต้น อนึ่งทะเลทรายนี้มีฝนตกไม่เกินปีละ 25 เซนติเมตร และฝนจะตกไม่สม่ำเสมอ แต่จะตกแรงและสิ้นสุดเร็ว จนทำให้ลำธารเล็กๆ ที่มีอยู่ตามหุบเขาในทะเลทรายกลายสภาพเป็นแม่น้ำได้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง
สภาพทั่วไปทางภูมิศาสตร์ของ Sahara เป็นพื้นที่ราบ แต่ก็มีภูเขาสูงบ้าง เช่น ภูเขา Ahaggar ที่สูง 3,300 เมตร ใน Algeria และในบริเวณทางเหนือของทะเลทรายจะมีแหล่ง oasis มากกว่าทางตอนใต้ และแหล่งน้ำนี้เป็นที่ที่มีการปลูกปาล์ม มะกอก องุ่น ข้าวสาลี และข้าวบาเลย์มาก โดยได้น้ำในการทำเกษตรกรรมจากภูเขา Atlas ที่อยู่ไกลออกไป 400 กิโลเมตร ในทะเลทรายนี้ยังมีเมืองโบราณที่ถูกทรายทับถมหลายเมือง ส่วนทางด้านตะวันออกของทะเลทรายมีแม่น้ำไนล์ไหลผ่าน จึงทำให้พื้นดินส่วนนี้มีการทำเกษตรกรรม ส้ม ผลไม้ และฝ้าย นอกจากนี้ Sahara ยังมีแหล่งน้ำมันด้วย จึงทำให้มีการนำรถยนต์มาใช้ในการติดต่อเดินทางถึงกันแทนที่จะใช้อูฐดังเช่น ในสมัยก่อน
ในวารสาร Geophysical Research Letters ฉบับที่ 26 หน้า 2037 M.Claussen และคณะแห่ง Potsdam Institute for Climate Impact Research ในประเทศเยอรมนี ได้ให้คำอธิบายสาเหตุการกลายสภาพของ Sahara ว่า การวิเคราะห์เมล็ดพืชโบราณได้ทำให้เขารู้ว่าเมื่อ 6,000-7,000 ปีก่อนนี้ อากาศใน Sahara อบอุ่น และ Sahara มีป่า มีต้นไม้มากมาย แต่เมื่อเวลาผ่านไป ประมาณ 2,000 ปี ได้เกิดเหตุการณ์ภัยแล้งอย่างรุนแรงที่กินเวลานาน 400 ปี ทำให้ผู้คนที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ใน Sahara ต้องอพยพย้ายแหล่งทำมาหากินไปอยู่ ณ ที่ใหม่ตามลุ่มน้ำไนล์ และสาเหตุที่ทำให้เกิดภัยแล้งระดับมหากาฬนั้น Claussen ได้ให้เหตุผลว่า เกิดจากการที่แกนของโลกได้เปลี่ยนระดับการเอียง คือ ได้ลดลงจาก 24.14 องศา มาเป็น 23.45 องศา ทำให้ฤดูร้อนในซีกโลกทางเหนือมีอุณหภูมิลดลง เพราะแสงอาทิตย์ตกกระทบพื้นผิวโลกส่วนนี้น้อยลง และเมื่อ Claussen นำข้อมูลการเย็นลงของฤดูร้อนนี้ป้อนเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อศึกษาผลกระทบที่จะมีต่อกระแสน้ำในมหาสมุทร และอากาศเหนือทวีปแอฟริกา รวมทั้งลมมรสุมที่จะพัดมาจากมหาสมุทรอินเดียเพื่อนำฝนมาตกใน Sahara เขาก็ได้พบว่า พายุนำฝนนี้ได้อ่อนแรงลงมากคือไม่สามารถนำฝนมาตกใน Sahara ได้มากดังเคย การมีฝนตกน้อยทำให้ต้นไม้และพืชต่างๆ ล้มตาย และเมื่อป่าไม้สลายมาก ความสามารถในการเก็บความชื้นของดินก็ยิ่งน้อย ทำให้ฝนตกยิ่งน้อยและต้นไม้ก็ยิ่งตาย วงจรที่ใช้เวลา 400 ปีนี้ ได้ทำให้ต้นไม้ใน Sahara สาบสูญหมดจน Sahara กลายเป็นทะเลทรายในที่สุด
คำถามหนึ่งที่นัก ภูมิศาสตร์ได้ งุนงงและสงสัยมานานคือ Sahara ถือกำเนิดได้อย่างไร เพราะนักโบราณคดีได้ขุดพบเมล็ดพืชโบราณในสถานที่หลายแห่งในทะเลทราย ซึ่งเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าในอดีตเมื่อ 9,000-6,000 ปีก่อนนี้ Sahara ได้เคยเป็นสวนสวรรค์แห่ง Eden ที่มีหญ้าเขียวขจีมีต้นไม้และพืชขึ้นอย่างอุดมสมบูรณ์ แต่เหตุใด ณ วันนี้และทุกวันนี้ Sahara จึงมีแต่ทรายกับทราย