ความงามอันจอมปลอม
ความงดงามของร่างกาย เป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนปรารถนา เพราะนอกจากตนเองจะเกิดความพึงพอใจแล้วยังเป็นที่ถูกอกถูกใจของผู้ได้พบเห็นอีกด้วย บางคนถึงขนาดหลงใหลใฝ่ฝัน ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาครอบครอง บางครั้งถึงขนาดยอมทำผิดศีล ผิดธรรมก็มี
แต่…ในความเป็นจริงแล้ว ร่างกายของมนุษย์นั้น มิได้งดงามอย่างที่เห็น ถ้าเรารู้จักพิจารณาอย่างถี่ถ้วน จะเห็นความไม่งามที่แฝงอยู่อย่างมากมาย แต่ที่เรามองไม่เห็นตามความเป็นจริงก็เพราะไปหลงยึดติดกับภาพลวงตา อันเกิดจากกิเลสตัณหาภายใน จนมองไม่เห็นว่า…สังขารทั้งหลายนั้นไม่เที่ยง เป็นทุกข์ไม่ใช่ตัวตน และมีความเสื่อมสลายไปในที่สุด
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงรู้แจ้งในความจริงข้อนี้ดี จึงมักนำหลักการพิจารณาความไม่งามของร่างกายมาสอนแก่พระภิกษุและสาธุชนทั่วไปอยู่เป็นประจำ ซึ่งบางครั้งพระองค์ก็มีวิธีการสอนแบบพิเศษๆ ที่ได้ผลแบบเฉียบพลัน ดังเรื่องราวของพระนางเขมา ที่จะได้กล่าวถึงต่อไปนี้
พระนางเขมา เป็นอัครมเหสีของพระเจ้าพิมพิสารพระนางเป็นสตรีที่มีรูปงามเป็นเลิศผู้หนึ่ง เมื่อพระนางทรงทราบว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงติเตียนความติดในรูปพระนางจึงไม่ประสงค์ที่จะเสด็จเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ เพื่อฟังธรรม เพราะเกรงว่า พระพุทธองค์จะทรงติโทษแห่งรูปของพระนางด้วย
เมื่อพระเจ้าพิมพิสารทรงทราบความนั้น จึงรับสั่งให้พวกคีตกวีแต่งเพลงขับพรรณนาความงาม ความรื่นรมย์ของพระเวฬุวัน เมื่อพระนางได้ทรงสดับเพลงขับนั้นแล้วก็ปรารถนาจะเสด็จไปยังเวฬุวันวิหาร
เมื่อพระศาสดาทรงทราบว่า พระนางเขมาเสด็จมาจึงได้เนรมิตสตรีสาวสวยคนหนึ่งให้ยืนถวายงานพัดอยู่ข้างๆ ที่แสดงธรรม
เมื่อพระนางเขมาได้เห็นสาวงามคนนั้น ก็ถึงกับตะลึง! แล้วก็ทรงดำริว่า
“คนเขาพูดกันว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงติโทษแห่งรูป เห็นจะไม่จริงเสียกระมัง เพราะหญิงสาวที่ยืนถวายงานพัดอยู่นี้ ช่างสวยเหลือเกิน แม้เราเองยังสวยไม่ถึงเศษหนึ่งส่วนสี่ของหญิงผู้นี้เลย อีกทั้งรูปร่างที่สวยงามเช่นนี้เราก็ไม่เคยเห็นมาก่อนด้วย”
ในขณะนั้น พระนางมิได้สนพระทัยในพระดำรัสของพระศาสดาเลย เพราะพระนางเอาแต่จ้องมองดูสาวงามผู้นั้นอยู่ พระศาสดาทรงทราบวาระจิตของพระนางแล้ว จึงทรงเนรมิตหญิงงามนั้น ให้ค่อยๆ แปรเปลี่ยนไปในวัยต่างๆ ตั้งแต่สาววัยรุ่น จนกระทั่งมาเป็นสาวใหญ่วัยกลางคน และท้ายที่สุดก็กลายเป็นหญิงชราที่ล้มเจ็บและตายในที่สุด เมื่อตายแล้วก็มีน้ำเลือดน้ำเหลืองไหลออกมา นกแร้งกาก็ได้มารุมกันจิกกินจนเหลือแต่โครงกระดูกขาวโพลน
พระนางเขมาได้ทรงทอดพระเนตรทุกขั้นตอนของการเปลี่ยนแปลงนั้น จึงทรงดำริว่า “รูปอันงามถึงปานนี้ ยังต้องเสื่อมสิ้นไปเพียงครู่เดียวเท่านั้น สาระในรูปนี้ไม่มีเลย”
ในขณะนั้น พระศาสดาทรงทราบว่า พระหฤทัยของพระนางอ่อนลงและมีความสังเวชสลดใจเช่นนั้น ด้วยเหตุนี้พระพุทธองค์จึงตรัสว่า “เขมาเธอจงดูร่างกายนี้อันอาดูรไม่สะอาด เน่า มีสิ่งปฏิกูลไหลเข้าไหลออกอยู่เสมอ เป็นที่ปรารถนายิ่งนักของคนเขลา”
เมื่อจบพระธรรมเทศนา พระนางได้บรรลุโสดาปัตติผล พระศาสดายังตรัสต่อไปว่า…“เขมา สัตว์ทั้งหลายเยิ้มอยู่ด้วยราคะ ร้อนอยู่ด้วยโทสะ งมอยู่ด้วยโมหะ จึงไม่อาจก้าวล่วงกระแสตัณหาได้ ต้องข้องอยู่ในกระแสตัณหานั้น” ดังนี้แล้ว
พระพุทธองค์ก็ได้ตรัสยกพระคาถาขึ้นว่า
บุคคลผู้ถูกย้อมด้วยราคะ ย่อมตกลงไปสู่กระแสแห่งตัณหา เหมือนแมงมุมตกลงไปยังใยที่ตัวทำไว้เอง นักปราชญ์ทั้งหลายตัดกระแสตัณหานั้นแล้ว เป็นผู้ไม่ไยดีละเว้นทุกข์ทั้งปวงไป
เมื่อจบพระธรรมเทศนาครั้งที่ ๒ นี้ พระนางก็ได้บรรลุพระอรหัตตผล และออกบวชเป็นภิกษุณีในวันนั้นเอง