นับตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันได้มีการนำเรื่องนี้ไปเปิดประเด็นถกเถียงกันอยู่ตลอดเวลา ตลอดจนมีนิยาย หนังสือ รวมไปถึงภาพยนตร์ที่มี ไทม์ แมชชีนเข้าไปเกี่ยวข้องอยู่มากมาย
มันเป็นความฝันสำหรับนักวิทยาศาตร์ และ ความอยากรู้อยากเห็นของบรรดาผู้อยากที่จะรู้อดีต ทำนายอนาคต เป็นเรื่องทางวิทยาศาสตร์ที่ยังคงรอการพิสูจน์ และทำให้มันเป็นจริงขึ้นมานับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน กับ เครื่องจักรพิศวง ไทม์ แมชชีน
บรรดานักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ของโลกที่กำลังทุ่มเทการวิจัยเรื่องนี้กันอย่างหนัก ก็เริ่มมีเค้าของความเป็นไปได้เพิ่มขึ้นมากสำหรับเรื่อง ไทม์ แมชชีน หรือ การท่องเวลา ออกมากันบ้างแล้ว โดยบรรดานักวิจัยจากแคลิฟอร์เนียและกรุงมอสโควเค้าประกาศออกมาแล้วว่า การท่องเวลา (Time Travel) นั้น มีความเป็นไปได้อยู่ทีเดียว !!
ซึ่งพวกเค้าได้สร้างห้องแล็ปที่เรียกว่า TARDIS ขึ้นมา และเริ่มทดลองโดยนำพื้นฐานมาจากสมการของนักฟิสิกส์เอกของโลก อัลเบิร์ท ไอนสไตน์ (Albert Einstein) นักวิทยาศาสตร์กลุ่มนี้กล่าวว่ามันอาจยากมากในการวิจัยและทดลองให้มันเป็นจริงหรือใกล้ความจริง แต่ก็มีความเป็นไปได้มากทีเดียว
Time Machine : จักรกลข้ามเวลา
บางทีอาจจะดูเหมือนเป็นการฝืนกฎของธรรมชาติ ที่บัญญัติเอาไว้ว่าสิ่งมีชีวิตทุกชนิดต้องดำเนินครรลองไปข้างหน้าเท่านั้น ไม่มีสิทธิ์ที่จะกระทำตัวเหนือธรรมชาติอย่างนี้ แน่นอนว่าธรรมชาตินั้นมีสิทธิ์ขาดในการดูแลจัดสรรปันส่วนทุกอย่างบนโลกนี้ได้อย่างลงตัวและถูกต้องมากที่สุดแล้ว กระนั้นมนุษย์เราก็ยังอาจหาญที่จะฝืนธรรมชาติในกฎเกณฑ์หลายๆ อย่าง เช่น การตัดต่อพันธุกรรมซึ่งกระทำตนประดุจเป็นพระเจ้า และเริ่มจะสร้างเครื่องข้ามเวลาและการคิดค้นยาอายุวัฒนะ ซึ่งเป็นกฎเหล็กของธรรมชาติที่มนุษย์เราไม่ควรฝ่าฝืน การท่องเวลานั้นบางทีฟังดูเหมือนว่ามันจะเป็น สิ่งที่ขัดแย้งกันเอง (Paradoxes) อยู่ในหลายๆ ด้าน คุณลองจินตนาการดูว่าวันหนึ่งเรานั้นสามารถที่จะประดิษฐ์เครื่องไทม์ แมชชีนได้สำเร็จและเดินทางย้อนไปยังอดีต และเกิดนึกสนุกขึ้นมาทำให้คุณพ่อคุณแม่ของเราไม่ได้พบกัน และทำให้เราไม่ได้เกิดขึ้นมา และพอเรากลับมายังอนาคต ซึ่งเราก็ยังเป็นตัวเราอยู่ ดูแล้วมันออกจะแปลกๆ ในเมื่อเราในอดีตไม่ได้เกิดมา แล้วตัวเราในอนาคตหรือในขณะนี้นั้นเป็นใคร ?? เป็นไปได้หรือไม่ว่า อาจจะมีอนาคตของหลายๆ มิติอนาคต ซึ่งจะแยกย่อยออกไปตามเหตุการณ์ที่เจอหรือเกิดขึ้นตามแต่ละมิติเวลาในช่วงนั้น
จากความคิดตรงนี้เองที่ทำให้มันดูเหมือนว่า การย้อนเวลาขัดแย้งกันเองด้วยกฎของธรรมชาติ อย่างที่ว่าไป ถ้าคิดในอีกแง่หนึ่งก็คือ อดีต เป็นสิ่งที่แตะต้องไม่ได้ เราไม่สามารถทำอะไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นมาได้แล้ว อาจจะคิดได้ในแง่ว่าช่วงเวลาของอดีตหรือของอนาคตที่มีนั้นมีอยู่เพียงมิติเดียว แต่ถ้ามีอยู่หลายมิติเวลาล่ะก็เป็นอีกเรื่องนึง!!!
ส่วนที่กล่าวไปก็คือ กลุ่มที่มีข้อโต้เถียงเรื่องที่ว่าการท่องเวลานั้นเป็นไปไม่ได้นั่นเอง สมการทฤษฎีสัมพัทธภาพ (Theory of Relativity) ของไอน์สไตน์นั้น Roger Penrose นักวิทยาศาสตร์วิจัยจาก Oxford University เคยได้เสนอทฤษฎีของเขาเรื่องที่ว่า เมื่อมวลวัตถุถูกดูดเข้าไปนั้นจะไปอยู่ยังใจกลางของหลุมดำด้วยแรงดึงดูด ซึ่งตรงนั้นเรียกว่า Singularity และ เจ้ามวลวัตถุชิ้นนั้นก็จะถูกบดขยี้เป็นโจ๊กเละไป เป็นทฤษฎีที่มีมา 30 ปีแล้ว
แต่ในปี 1960 นักคณิตศาสตร์ชาวนิวซีแลนด์ Roy Kerr ได้พบว่าหลุมดำนั้นมีอะไรบางอย่างที่ไม่ธรรมดา เขาพบว่าช่วงที่เราเรียกว่า Singularity นั้นมีการขยับหรือขยายตัวเป็นวงแหวน ตรงนี้และครับที่ Roy คิดว่าถ้าสามารถที่จะผ่านรูตรง Singularity และออกมาได้ ก็อาจจะไปโผล่เอาที่หรือเวลาอื่นได้ เขาตั้งทฤษฎีนี้ว่า Roy Solution แต่กว่าจะเป็นที่ยอมรับให้ความสนใจและศึกษากันต่อก็มาเอาในอีก 10 ปี ให้หลัง ในปี 1970 นั่นเอง
หลังจากที่ค้นพบว่า มีหลุมดำอยู่ในแกแล็คซี่ทางช้างเผือกของเรา และในใจกลางของแกแล็คซี่อื่นๆ อีก ทำให้เริ่มมีการสนใจ ศึกษาและค้นคว้ากันอย่างจริงจังเพิ่มมากขึ้น ต่อมาในปี 1980 Rip Thorne หัวหน้าของ CalTech ซึ่งเป็นกลุ่มที่เชี่ยวชาญเรื่องทฤษฎีสัมพัทธภาพของโลก ได้ทำการพิสูจน์ และได้บทสรุปว่า
"ทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์เรื่องท่องเวลาน่ะ ไม่น่าจะเป็นจริงได้"
แต่ถ้ามีเทคโนโลยีหรือเครื่องมือที่พอจะสามารถจับ หรือควบคุมหลุมดำเอาไว้แล้วศึกษาให้ดีก็ไม่แน่เหมือนกัน ซึ่งตรงจุดนี้ก็ไปตรงกับข้อสันนิษฐานของทฤษฎี Kerr Solution และอีกข้อสันนิษฐานอีกข้อหนึ่งของ Kerr Solution ก็กล่าวว่าบางทีหลุมดำอาจจะไม่ได้มีเพียงชนิดเดียว หรือ ก็คืออาจจะมีหลุมดำที่เป็น "ประตู" อยู่ หรือที่เรียกประตูนี้ว่า หลุมหนอน (Wormhole)
เจ้าหลุมดำชนิดนี้ที่ว่ามันเป็นประตูสู่กาลเวลา เป็นตัวเชื่อมระหว่างหลุมดำในมิติหรือจักรวาลอื่น หรือที่เรียกได้ว่าเป็น Multiverse โดยใช้หลักการที่เรียกว่าการ Warp ซึ่งต่อมาภายหลังจากหนัง Sci-Fi เราจะเห็นลักษณะของการ Warp เป็นไปในรูปของการเดินทางข้ามจักรวาลอย่างเร็วแบบเข้าสู่ Hyper Space ซึ่งก็มีอยู่บ้างเหมือนกัน แต่ไม่ใช่ผ่านกาลเวลา
อย่างที่ทราบกันว่าเรื่องของเวลา และเกี่ยวกับการท่องเวลานั้น เริ่มต้นมาจากความรู้ในด้านสาขาวิทยาศาสตร์ หรือถ้าจะเจาะจงลงลึกไปมากกว่านั้น ก็คือสาขาฟิสิกส์นั่นเอง โดยริเริ่มมาจาก อัลเบิร์ท ไอน์สไตน์ นักฟิสิกส์เอกของโลกและต่อมาก็ได้มีผู้สืบสานงานต่อจากเขาอีกมากมาย แตกแขนงออกมาเป็นอีกหลายทฤษฎี มีทั้งผู้ที่เชื่อว่าด้วยกฎฟิสิกส์นั้นเป็นไปได้กับการสร้าง ไทม์ แมชชีน ขึ้นมาแต่ ณ เวลานี้ยังทำไม่ได้ และ พวกที่เชื่อว่าไม่น่าทำได้ สรุปก็คือมีเชื่อกับไม่เชื่อนั่นเอง
ดังที่กล่าวมาแล้วว่ามีสิ่งที่จะช่วยสนับสนุนทฤษฎีการท่องเวลาให้เป็นจริงได้ ก็คือ หลุมหนอน (Wormhole) หรือ คือจุดเชี่อมระหว่างมิตินั่นเอง ว่ากันว่าโดยข้อสันนิษฐานของทฤษฎี Kerr Solution ได้กล่าวเอาไว้ว่าเจ้าหลุมหนอนเนี่ยก็เป็นหลุมดำชนิดหนึ่ง ซึ่งแตกต่างจากหลุมดำอื่นๆ ซึ่งจะดูดกลืนทุกสรรพสิ่งเข้าไปในตัว ด้วยแรงดึงดูดที่มหาศาล จนแม้กระทั่งแสงก็ไม่อาจหนีจากมันได้ จากนั้นก็จะโดนบดขยี้แหลกเหลวด้วยแรงกดอันมหาศาล แต่ว่าเจ้าหลุมดำหรือหลุมหนอนของนาย Kerr เนี่ย มันไม่ได้ดูดกลืนอย่างเดียว แต่มันจะ "พ่น" สิ่งที่ดูดกลืน จากฟากหนึ่งของตัวมันมาออกยังอีกจุดหนึ่งด้วย หรือทำหน้าที่คล้ายๆ "ปาก" นั่นเอง
ได้มีการสันนิษฐานกันว่า มันน่าจะเป็นประตูเชื่อมกันระหว่างจักรวาลกับจักรวาล เวลากับเวลาและมิติกับมิติ ซึ่งตรงกลางภายในรอยต่อเชื่อมนี้ หรือโพรงนี้อาจจะมี การบิดเบี้ยวของบรรยากาศ เกิดซึ่งเกิดจากบางสิ่ง หรือก็คือ Singularity ที่ได้กล่าวไปนั่นเอง ซึ่งตรงนี้เองอาจจะทำให้เกิดรอยต่อของมิติขึ้นที่อีกด้านหนึ่งของทางออก และอาจทำให้เกิดการ วาร์ป (Warp) ผ่านจักรวาล และเวลาได้
แต่หลุมดำไหนล่ะที่จะเป็นประตูมิติเวลา และ หลุมดำไหนล่ะที่จะเป็นสุสานของจักรวาล ?? คำถามนี้ก็ต้องรอคำตอบกันไปก่อน ส่วนถ้าคิดต่อไปอีก ก็คงจะเป็นเรื่องที่ว่า แล้วเราจะ "ควบคุม" หลุมหรือช่วงเวลาหรือการบิดเบี้ยวของช่องมิติได้ยังไง ?? หรือจะให้ไปโผล่ยังจุดที่ต้องการได้ยังไงล่ะ ?? คำตอบน่ะเหรอครับ ก็คงต้อง"รอ" กันไปก่อน