กินยาแก้แพ้ให้ได้ประโยชน์ ไม่มีผลข้างเคียง
ช่วงนี้อากาศแปรปรวนบ่อยเดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาว บ้างฝนตก ทำให้หลายคนเป็นหวัด คัดจมูก แพ้อากาศ บางคนหันไปใช้ยาแก้แพ้เพื่อรักษาหรือบรรเทาอาการให้ลดลง จึงส่งผลให้อัตราการใช้ยาแก้แพ้เพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยและเพื่อให้การใช้ยาแก้แพ้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ วันนี้เคล็ดลับสุขภาพดีมีข้อแนะนำดี ๆ เกี่ยวกับการใช้ยาแก้แพ้ให้ได้ประโยชน์และไม่มีผลข้างเคียงมาฝากกัน ภก.วิพิน กาญจนการุณ นายกสมาคมเภสัชกรรมโรงพยาบาล (ประเทศไทย) ให้ความรู้ว่า จากการสำรวจในปัจจุบันพบว่าคนไทยเป็นภูมิแพ้กันมากขึ้น เนื่องจากในแต่ละวันต้องพบอากาศที่แปรเปลี่ยนและพบเจอกับตัวการที่ทำให้เกิดภูมิแพ้ที่มีอยู่รอบตัว ไม่ว่าจะเป็น ฝุ่น ควัน เชื้อรา มลพิษ อาหารที่ปนเปื้อน เกสรดอกไม้ ขนสัตว์ โดยตัวการเหล่านี้จะเป็นแรงกระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ผ่านการสัมผัส การหายใจและการกิน ส่งผลให้ภูมิแพ้เป็นโรคยอดฮิตในยุคนี้ โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่จะนิยมกินยาแก้แพ้เพื่อรักษาหรือบรรเทาอาการด้วยตนเองในกรณีที่มีการแพ้แบบไม่รุนแรง ดังนั้นยาแก้แพ้จึงเป็นยาอีกกลุ่มหนึ่งที่มีอัตราการใช้สูงมากในประเทศไทย แม้ยาในกลุ่มนี้จะจัดอยู่ในกลุ่มยาที่ค่อนข้างปลอดภัย แต่ มี 3ประการ ที่ผู้ป่วยต้องทราบเพื่อประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการใช้ยา คือ อย่างไรก็ตามสิ่งสำคัญที่เราต้องทำเป็นอันดับแรก คือ สังเกตว่าสิ่งใดที่ทำให้แพ้ก็ควรหลีกเลี่ยง และเลือกใช้ยาแก้แพ้อย่างถูกต้อง หมั่นออกกำลังกาย กินอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ พร้อมปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเมื่อต้องการใช้ยา เพราะยาแก้แพ้ไม่ใช่ยาอันตราย หากรู้จักใช้อย่างถูกต้องก็จะดีต่อสุขภาพและได้ประโยชน์สูงสุด
1. รู้จักยา ยาแก้แพ้นิยมแบ่งออกเป็น 2ประเภทใหญ่ ๆ ตามผลข้างเคียง ได้แก่ ชนิดที่ทำให้ง่วง (ยาแก้แพ้รุ่นเดิม) และชนิดที่ไม่ทำให้ง่วงนอน (ยาแก้แพ้รุ่นใหม่) เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคภูมิแพ้ไม่รุนแรงโดยโรคภูมิแพ้ส่วนใหญ่เกิดอาการได้ในหลายที่ อาทิ โพรงจมูก ตา ผิวหนัง ซึ่งจะมีอาการ เช่น แพ้อากาศ จาม คัดจมูก น้ำมูกไหล แพ้เกสร ไรฝุ่น ขนสัตว์ เชื้อรา ลมพิษ เคืองตา เป็นต้น
2. หลักการและข้อควรระวังการใช้ยาเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด ควรใช้ยาก่อนสัมผัสกับสิ่งที่ทำให้แพ้ และใช้อย่างต่อเนื่องตลอดเวลาที่ต้องพบกับสารที่ก่อภูมิแพ้ซึ่งยาแก้แพ้จะใช้ได้ผลดีในการป้องกันมากกว่าการระงับอาการแพ้ และควรเริ่มใช้ยาจากขนาดต่ำก่อนแล้วค่อยปรับขนาดขึ้น จนได้ผลที่น่าพอใจ แต่ต้องระวังเรื่องผลข้างเคียงด้วย เมื่อร่างกายเกิดการชินยาแก้แพ้ ควรเปลี่ยนชนิดของยาแก้แพ้ชนิดเดิมไปเป็นชนิดใหม่ภายในระยะเวลา 1-2เดือนสำหรับในกลุ่มเด็กทารกควรเพิ่มความระวังในการใช้เป็นพิเศษ เนื่องจากเด็กทารกมีความไวต่อการตอบสนองต่อยานี้มาก อาจเกิดผลกระตุ้นประสาท ทำให้เกิดอาการตื่นเต้น กระวนกระวาย ร้องโยเย หรือรุนแรงถึงขั้นชักได้
และ 3. รู้จักข้อจำกัดของยา แยกเป็น 2กลุ่ม ได้แก่ ข้อจำกัดของยาแก้แพ้รุ่นเดิม คือ ทำให้ปากแห้ง จมูกแห้ง ปัสสาวะลำบาก ที่สำคัญทำให้ง่วงนอน จึงไม่ควรใช้ยาชนิดนี้ร่วมกับการดื่มสุราหรือยากดประสาท เช่น ยานอนหลับ ยาคลายเครียด ไม่ควรใช้เมื่อต้องขับรถหรือควบคุมเครื่องจักร แต่อีกมุมหนึ่งผลข้างเคียงที่ทำให้ง่วงนี้ก็มีประโยชน์กับผู้ป่วยที่ต้องการการพักผ่อน เช่น โรคหวัดหรือแพ้อากาศ เพราะยานี้จะช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่ รวมทั้งยานี้จะมีฤทธิ์ลดน้ำมูก ทำให้จมูกแห้ง ช่วยทำให้ผู้ป่วยสบายมากยิ่งขึ้น ส่วนข้อจำกัดของยาแก้แพ้รุ่นใหม่ คือ ยาจะออกฤทธิ์ช้าแต่มีฤทธิ์อยู่ได้นานดังนั้นผู้ป่วยอาจต้องกินยานี้ต่อเนื่องหลายวันจึงเห็นผล อีกทั้งยาแก้แพ้รุ่นใหม่จะลดน้ำมูกและอาการคัดจมูกได้ไม่ดีเท่ายาแก้แพ้รุ่นเดิม