ในอาชีพการทำงานที่เกี่ยวข้องกับผู้คน ผมได้มีโอกาสสังเกตเห็นบุคคลสองประเภท กลุ่มแรกประสบความสำเร็จอย่างยิ่งยวดในอาชีพการงาน ชีวิตส่วนตัว และสัมพันธภาพต่อคนรอบข้าง กลุ่มที่สอง มีปัญหาอย่างต่อเนื่อง เริ่มจากสุขภาพร่างกายที่เจ็บป่วยเกินธรรมดา การทำงานและสัมพันธภาพที่มีปัญหาอย่างต่อเนื่อง ทั้งที่มีความสามารถในการทำงานและมีประสบการณ์มานานชนิดหาตัวจับยาก แต่ยิ่งทำยิ่งไม่ประสบความสำเร็จ สาเหตุสำคัญ คือ ทัศนคติและมุมมองที่คนเหล่านี้มีต่อตนเองและโลกนี้ เท่านั้นเองจริงๆ!
บุคคลที่ไม่สามารถให้ความรัก ความเมตตา ให้ความชื่นชมในตนเองได้ ไม่ว่าจะเป็นลมหายใจเข้าออก อวัยวะน้อยใหญ่ รวมทั้งเซลล์ทั้งหลายในร่างกาย บุคคลนั้นจะไม่สามารถหยิบยื่นความรัก และให้ความชื่นชมต่อคนรอบข้างได้เป็นอันขาด การเริ่มต้นสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี คือ การรู้จักรักและเมตตาตนเอง รู้จักใส่ใจ ทะนุถนอมและดูแลอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายและจิตใจด้วยความอ่อนโยน ละมุนละม่อม
ให้หมั่นขอบคุณลมหายใจของเรา ทั้งหายใจเข้า หายใจออก ให้รู้สึกขอบคุณที่เรายังมีลมหายใจ เป็นลมหายใจที่ทำให้เรายังคงสภาพเป็นมนุษย์ สามารถประกอบกรรมดี ทั้งกาย วาจา ใจ ได้ต่อไป
จากมุมมองที่รัก เมตตา และชื่นชมตัวเองได้อย่างจริงใจแล้ว เราจึงสามารถรัก เมตตา และชื่นชมคนรอบข้างได้อย่างจริงใจ จุดนี้จะทำให้เราเริ่มประสบความสำเร็จมากขึ้นในทุกสิ่งทุกอย่างที่ก้าวเดินไป
การใช้ชีวิตของคนเราจำเป็นต้องมีปฏิสัมพันธ์กับคนมากมาย ทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ แต่เมื่อใดที่เราได้พบปะเจอะเจอผู้คน คนเหล่านั้นผู้ซึ่งอยู่เฉพาะหน้าเรา ในรัศมี 1-5 เมตร คนเหล่านั้นคือ บุคคลที่สำคัญที่สุดในชีวิต ไม่ว่าเขาจะเป็นคนกวาดถนน พนักงานทำความสะอาด เด็กปั๊ม เพื่อนร่วมงาน เจ้านาย ลูกน้อง ตำรวจจราจร หรือใครก็ตาม
เราเคยได้ส่งรอยยิ้ม ได้ทักทาย ได้ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกับคนเหล่านี้ที่ได้ผ่านพานพบในชีวิตประจำวันบ้างรึเปล่า ลองทำดูสิครับ แล้วจะพบว่า ชีวิตนี้ช่างมีความหมายมากมายกว่าที่เราเคยรู้จัก
ธีโอดอร์ รูสต์เวลต์ อดีตประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกากล่าวว่า "ส่วนผสมสำคัญเพียงหนึ่งเดียวในสูตรแห่งความสำเร็จของชีวิต คือ การรู้ว่าจะทำตัวกลมกลืนกับผู้คนได้อย่างไร" ตรงนี้เป็นมุมมองของฝรั่งที่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาทักษะเรื่องคน
แต่มุมมองทางพระพุทธศาสนามีความละเอียดลึกซึ้งมากกว่าหลายเท่า พระพุทธองค์ทรงสอนให้เรามีความเมตตาโดยเสมอภาคกับสรรพสัตว์ทั้งหลาย โดยไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ไม่แบ่งแยก ไม่มีอคติ ไม่มีญาติพี่น้องพวกพ้อง เพราะเรามักจะให้ความสำคัญและความเมตตากับคนที่เป็น "พ่อแม่พี่น้อง" เรา "เพื่อน" เรา เมื่อใดที่มีคำว่า "เรา" เข้ามากำกับ ความเมตตาจะมากขึ้นมาโดยธรรมชาติ เท่ากับการปล่อยให้ใจติดสินบน ไม่เป็นธรรม ไม่เสมอภาค ไม่เท่าเทียม
ลองฝึกดูสิครับ ฝึกให้ใจมีความเป็นธรรม ให้ความสำคัญและความเมตตาต่อบุคคลที่อยู่ข้างหน้าเราในขณะนี้ ให้ตระหนักรู้ว่า เขาคือบุคคลที่สำคัญที่สุดในชีวิตเรา หากทำได้เช่นนี้ นอกจากเราจะได้เดินตามรอยบาทพระศาสดาแล้ว เรายังจะเป็นผู้ที่มีความสุข ประสบความสำเร็จทั้งในชีวิตส่วนตัวและที่ทำงาน
เลิกปล่อยใจให้ติดสินบน ตกจากทำนองคลองธรรม โดยการเลือกที่รักมักที่ชังกันได้แล้วครับ!
ขอบคุณที่มา :: http://www.posttoday.com/