1. การลอกหน้าด้วยสารเคมี
สาร เคมี เช่น กรดไตรคลอโรอะซิติก กรดไกลคอลิก อาจช่วยลอกผิวหนังส่วนบนทำให้ฝ้าจางลงได้แต่ต้องระวังข้อแทรกซ้อน เช่น อาจเกิดรอยดำ การติดเชื้อ และแผลเป็น การลอกหน้าทำให้เซลล์ผิวหนังหลุดลอกออกไปเร็วขึ้น ผู้ป่วยที่กินยาคุมกำเนิดไม่ควรลอกหน้าเพราะยาคุมทำให้เป็นฝ้าอยู่แล้วจะ ยิ่งทำให้รอยคล้ำหลังลอกเข้มมากกว่าปกติ
ผู้ที่เคยเป็นเริมที่ใบหน้า แพทย์อาจให้กินยาต้านไวรัสเริม 2 วันก่อนลอกต่อจนถึง 5 วันหลังลอก เพื่อลดการกำเริบของเริม หลังลอกหน้าต้องหลีกเลี่ยงแสงแดด ทายากันแดด ถ้าผิวลอกเป็นขุยมากอาจทาครีมให้ความชุ่มชื้น ถ้ามีการติดเชื้อหรือการกำเริบของเริมต้องรีบกลับมาพบแพทย์
2. การกรอผิวด้วยผงขัด (microdermabrasion)
วิธี นี้จะเร่งการขจัดเซลล์ชั้นหนังกำพร้าให้ลอกหลุดเร็วขึ้น ได้ผลสำหรับฝ้าและกระที่อยู่ในชั้นตื้นๆ สำหรับข้อดีของการกรอผิวด้วยผงขัดโดยเฉพาะเมื่อเทียบกับการขัดหน้าชนิดลึก (dermabrasion) ที่เคยนิยมในยุคก่อน คือ การกรอผิวด้วยผงขัดไม่ต้องอาศัยการดมยา เทคนิคนี้ไม่เจ็บทำซ้ำได้บ่อยทำง่ายและรวดเร็ว ผู้ป่วยกลับไปใช้ชีวิตปกติได้ทันที
อย่างไรก็ตามการกรอผิวด้วยผงขัด มีข้อด้อย คือ ต้องทำซ้ำหลายครั้งและผลการรักษามีประสิทธิภาพน้อย ข้อแทรกซ้อนของการกรอผิวด้วยผงขัดคือ อาการตาแดง กลัวแสง และน้ำตาไหล การกรอผิวด้วยผงขัดเพียงอย่างเดียวไม่ค่อยได้ผลในการรักษาฝ้า เพราะเทคนิคนี้ช่วยแค่ทำให้เม็ดสีในเซลล์ผิวหนังหลุดลอก
3. การใช้ความเย็นจัด (Cryotherapy)
การ ใช้ความเย็นจัดเป็นเทคนิคที่ใช้รักษาโรคผิวหนังหลายอย่าง พบว่าเซลล์ผิวหนังแต่ละชนิดถูกทำลายที่อุณหภูมิแตกต่างกัน คือ เซลล์ผิวหนัง (keratinocytes) ถูกทำลายที่อุณหภูมิ -50 องศาเซลเซียส ส่วนเซลล์สร้างเม็ดสี (melanocytes) ไวต่อความเย็นมาก ถูกทำลายที่อุณหภูมิเพียง -5 องศาเซลเซียส จึงมักพบผิวเป็นรอยขาวเมื่อใช้ความเย็นจัดในคนผิวสีเข้ม ใช้เทคนิคความเย็นจัดรักษาฝ้าแต่ต้องระวังข้อแทรกซ้อนที่มีได้ตั้งแต่
- ข้อแทรกซ้อนเฉียบพลัน ได้แก่ อาการปวดศีรษะ เจ็บแผล และเกิดตุ่มน้ำบริเวณที่ทำ
- ข้อแทรกซ้อนที่เกิดตามมา คือ มีเลือดออก ติดเชื้อ
- ข้อแทรกซ้อนที่เป็นอยู่ได้นาน คือ ผิวเป็นรอยดำ และมีการเปลี่ยนแปลงของการรับความรู้สึก
- ส่วนข้อแทรกซ้อนถาวร ได้แก่ ผมร่วง ผิวฝ่อ แผลเป็นคีลอยด์ แผลเป็น ผิวเป็นรอยขาว และเกิดเปลือกตาปลิ้น
4. การใช้เทคนิคประจุไฟฟ้า(iontophoresis)
เมื่อ พ.ศ. 2536 มีงานวิจัยของคณะแพทย์ญี่ปุ่นระบุว่าใช้เทคนิคไอออนโตของวิตามินซีมารักษา ฝ้าและรอยดำจากการเกิดผื่นแพ้สัมผัสทำให้รอยดำเหล่านี้จางลงได้บ้างและช่วย ให้ผิวหนังสดใสขึ้น มีงานวิจัยของแพทย์เกาหลีที่ยืนยันว่าการทำไอออนโตด้วยวิตามินซีช่วยรักษา ฝ้าได้จริง วิธีไอออนโตจัดเป็นเพียงเทคนิคเสริมในการรักษาฝ้าและในปัจจุบันยังไม่มีวิธี ใดๆ ที่จะรักษาฝ้าให้หายขาดได้ ผู้ที่ใช้เครื่องกระตุ้นการเต้นของหัวใจ ผู้ที่มีประวัติแพ้ยาตัวที่จะนำมาทำไอออนโต ผู้ที่มีบาดแผลที่ผิวหนัง หรือผิวหนังติดเชื้อบริเวณที่จะทำ และผู้ที่มีประวัติโรคลมชัก ห้ามรับการทำไอออนโต
5. การใช้เทคนิคฉายแสง (Phototherapy)
ยัง ไม่นิยมใช้เทคนิคฉายแสงในการรักษาฝ้าเพราะมีราคาสูงผลการรักษายังไม่แน่ นอนกลับเป็นซ้ำเมื่อหยุดการรักษาและอาจเกิดข้อแทรกซ้อนที่ใช้กันเช่น เลเซอร์และแสงความเข้มสูง (IPL) เทคนิคนี้มีข้อแทรกซ้อน คือ อาการเจ็บปวด ผิวแดง บวม และรอยดำหลังการอักเสบ
สารพัดเทคนิคเสริมเพื่อรักษาฝ้า ที่กล่าวไปแล้วส่วนใหญ่เป็นวิธีที่มีค่าใช้ จ่ายสูงไม่สามารถรักษาฝ้าให้หายขาดไม่กลับเป็นซ้ำและอาจมีผลแทรกซ้อนได้ จึงควรเลือกใช้ตามความเหมาะสมและต้องเข้าใจว่ายังไม่มีวิธีใดที่รักษาฝ้าให้ หายขาดและไม่กลับเป็นซ้ำตลอดชีวิตได้
หมอชาวบ้าน
5 วิธีรักษาฝ้าให้หายขาด
เครดิต :
ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!