แผนที่การเปลี่ยนแปลงน้ำแข็งขั้วโลก

แผนที่การเปลี่ยนแปลงน้ำแข็งขั้วโลก

นักวิทยาศาสตร์สหรัฐฯ สามารถคิดค้นแผนที่การเคลื่อนตัวของน้ำแข็งบริเวณขั้วโลก ที่อาจช่วยให้เราเข้าใจธรรมชาติและปรากฏการณ์บริเวณทวีปแอนตาร์กติกมากขึ้น

จากปัญหาภัยพิบัติที่กำลังรุมเร้ามนุษยชาติอยู่ในขณะนี้ แม้จะมีนักวิทยาศาสตร์หลายฝ่าย แสดงความเห็นว่า หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้สภาพอากาศโลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว คือ สภาวะโลกร้อน แต่นักวิทยาศาสตร์อีกหลายกลุ่ม ที่ไม่เห็นด้วย ต่างก็พยายามออกมาปฏิเสธ โดยยืนยันว่ายังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน พอที่จะเชื่อมโยงว่าสภาพอากาศโลกที่เปลี่ยนแปลงขึ้นลงอย่างรวดเร็ว เป็นผลโดยตรงมาจากอุณหภูมิโลกที่อบอุ่นขึ้น

แต่หลังจากใช้ความพยายามกว่า 4 ปี กลุ่มนักวิทยาศาสตร์สหรัฐฯก็สามารถเขียนแผนที่การเคลื่อนตัวของน้ำแข็ง ในทวีปแอนตาร์กติกา ซึ่งเชื่อกันว่าจะเปิดเผยปริศนาดำมืดของดินแดนแห่งขั้วโลก รวมถึงไขความลับของระดับน้ำทะเลจากผลกระทบของสภาวะโลกร้อนได้

เอริก ริกนอท, เจเรมี มูกินอท และบรานน์ เชลเกอร์ 3 นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐฯ ใช้วิธีที่พวกเขานิยามกันว่า เป็นการต่อจิ๊กซอว์ โดยสร้างภาพแผนที่ขึ้นจากข้อมูลดาวเทียมหลายพันล้านจุด ซึ่งได้รับการเอื้อเฟื้อข้อมูลมาจากทางหน่วยงานอวกาศระหว่างประเทศ

เอริก ริกนอท กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ ข้อมูลต่างๆที่สำคัญ ยังไม่ถูกเปิดเผยหรือสามารถนำออกมาใช้ได้ ทำให้นักวิจัยจำนวนมากจำเป็นต้องอาศัยหลักการคาดเดา ซึ่งนี่ทำให้ทฤษฎีหรือสมมุติฐานบางประการ ที่แม้จะมีแนวโน้มเป็นไปได้ แต่ก็ไม่มีวันจะได้รับการยืนยัน เนื่องจากขาดหลักฐานที่น่าเชื่อถือ

นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย กล่าวว่า พวกเขานำข้อมูลที่ได้รับจากทั้ง ดาวเทียมญี่ปุ่น, ยุโรป และแคนาดา มาผสมผสานเพื่อหาลักษณะของทวีปแอนตาร์กติก โดยสิ่งที่พบและมีความน่าสนใจอย่างมาก คือรูปแบบปรากฏการณ์ของน้ำใต้แผ่นน้ำแข็ง ซึ่งเอริก ริกนอทกล่าวว่า ธารน้ำแข็งในแอนตาร์กติก มีลักษณะความเป็นไปได้ที่อาจเคลื่อนตัวถึงกว่า 800 ฟุตต่อปี และหากสภาวะโลกร้อนส่งผลกระทบให้น้ำแข็งบริเวณชายฝั่งละลาย จากภาพแผนที่ที่เห็นก็พบว่า น้ำแข็งซึ่งอยู่ลึกเข้าไปในแผ่นดิน จะเคลื่อนตัวมาแทนที่

เป็นเวลากว่าหลายปีแล้วที่ทวีปแอนตาร์กติก ได้รับความสนใจในแง่ของการศึกษาเกี่ยวกับสัญญาณของสภาวะโลกร้อน ซึ่งเอริก ริกนอท ก็หวังว่า แผนที่การเคลื่อนตัวของน้ำแข็งทวีปแอนตาร์กติก จะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้มนุษย์เข้าใจปรากฏการณ์ธรรมชาติบริเวณขั้วโลก และขยายขอบเขตการศึกษา จนอาจนำไปสู่บทสรุปของผลกระทบที่เกิดขึ้นกับโลก จากปัญหาสภาวะโลกร้อนได้ในอนาคต



ที่มา news.voicetv