ปวดหัวแบบไหนนะ

อาการปวดหัวมีหลายแบบ ส่งผลเสียต่อทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต ก่อนคว้ายาแก้ปวด ลองค้นหาสาเหตุและวิธีเอาชนะให้ได้ก่อน ไปดูว่าไอที่เราปวดหัว มันมาจากอะไรกันแน่

อาการปวดเหมือนโดนฆ้อนทุบ หลังปล่อยให้ตัวเองหิว เป็นเพราะสมองอาจตอบสนองข้อความอดอยากด้วยการปล่อยอะดรีนาลีนเพื่อรับน้ำตาลสะสมในตับ ทั้งนี้ เมื่อระดับอะดรีนาลีนสูงจะทำให้เกิดอาการปวดหัวได้

บรรเทาอาการปวด หาเวลากินซักหน่อย อย่ารอให้หน้ามืด และอย่าพึ่งแคลอรี่จากอาหารมื้อเดียว ควรทานอาหารเช้า กลางวัน เย็นและตุนของว่างเพื่อสุขภาพติดกระเป๋าไว้อย่างถั่วบราซิล ซึ่งมีแมกนีเซียมสูง บรรเทาอาการปวดหัวได้ค่ะ อย่าลืมว่าการเข้มงวดกับการลดน้ำหนักโดยอดอาหาร ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ และทำให้คุณอาจมีน้ำหนักกลับมาเพิ่มขึ้นในภายหลัง (Yo-yo effect)

2. ปวดหัวเพราะเซ็กส์

เวลาถึงจุดสุดยอด บางคนปวดหัวแทบระเบิดยืดเยื้อนานถึงครึ่งชั่วโมง สาเหตุว่ากันว่ามาจากการบีบรัดกล้ามเนื้อบริเวณหัวและคอ

บรรเทาอาการปวด ทางเลือกแทนการปฏิเสธ คือ การทานยาแก้ปวดสองเม็ดก่อนจู๋จี๋กัน หลีกเลี่ยงกาแฟก่อนเมคเลิฟ เพราะไปจำกัดเลือดที่ไปเลี้ยงเวียนในสมอง แต่ถ้าคุณมีอาการความดันโลหิตสูง หรือครอบครัวมีประวัติเลือดออกในสมอง แนะนำให้ไปพบแพทย์ สุขภาพต้องมาก่อน

3. ปวดหัวในที่ทำงาน

อาจมาจากหลายสาเหตุทั้งเจ้านายสุดงี่เง่าของคุณ สภาพแวดล้อมในที่ทำงานไม่เหมาะสม เช่น แสงไม่พอ โต๊ะที่ไม่เหมาะกับสรีระ ไม่เป็นไปตามหลักสุขภาพ ทำให้นั่งไม่สบาย หรือต้องนั่งเป็นเวลานานจนปวดเมื่อยไปหมดเกิดอาการคอยึดเกร็ง สันหลังตึง เลือดไหลเวียนไปที่หัวสะดุด จนเกิดอาการปวดหัวตุบ

บรรเทาอาการปวด พักจากงานที่ทำเป็นช่วง ทุกสองชั่วโมงเพื่อพักผ่อนสายตา แล้วหันไปหาแสงจากธรรมชาติบ้าง หมั่นคอยลุกขึ้นยืนเปลี่ยนอิริยาบถ อย่าห่อไหล่และยือคอไปข้างหน้า หมุนคอไปมาให้เลือดเดินและสูบฉีดโลหิตสม่ำเสมอ

4. ปวดหัวเพราะขาดน้ำ

น้ำเป็นสิ่งที่คุณขาดไม่ได้ และควรได้รับต่อวันมากถึงสองลิตร เพราะน้ำจะช่วยกำจัดของเสีย และสารพิษภายในร่างกาย ดังนั้นหากร่างกายของเราไม่ได้รับน้ำเพียงพอ จะทำให้ร่างกายเต็มไปด้วยพิษ โรคภัยสารพัด รวมถึงอาการปวดหัวของคุณ

บรรเทาอาการปวด สังเกตตัวเองไม่ให้ขาดน้ำ ในวันหนึ่งอย่าลืมว่าคุณควรได้รับน้ำมากต่อวันอยู่ที่สองลิตร นอกจากนี้ กรณีที่คุณมีการออกกำลังกาย อย่าลืมดื่มน้ำ 500 มิลลิลิตร ก่อนออกกำลังกาย และดื่มอีก 100-300 มิลลิลิตร ทุก 15 นาทีในช่วงของการออกกำลังกาย เพื่อสุขภาพที่ดี

5. ปวดหัวตอนสุดสัปดาห์

เกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย ทั้งเรื่องความเครียดจากวันทำงานที่ส่งผลต่อเนื่องให้คุณปวดหัวในช่วงวันหยุด หรือปัจจัยอื่นๆ ที่อาจนึกไม่ถึง

บรรเทาอาการปวด ลองสังเกตตัวเองดูสักนิด ว่ากิจกรรมอะไรที่แปลกแตกต่างไปจากกิจกรรมที่ทำในวันปรกติ ไม่ว่าจะเป็นการตื่นสายกว่าปรกติ การอดคาเฟอีนจากการที่ไม่ได้ทานกาแฟเหมือนในวันทำงาน การทานอาหารช้ากว่าปรกติ การแก้ไขก็เพียงแค่หาสาเหตุที่เกิดและทำให้เหมือนกับวันอื่นก็พอ

ปัจจุบัน พบได้บ่อยๆ กับสาวๆ ที่ดื่มกาแฟทุกวัน มักพบเสมอว่าในวันหยุดซึ่งอาจตื่นสาย และได้รับพิษภัยในรูปของอาการมึนงงจากการไม่ได้ดื่มกาแฟในช่วงวันดังกล่าว

6. ปวดหัวเพราะยาแก้ปวด

ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า ยาแก้ปวด เช่น พาราเซตามอล แอสไพริน และไอบูโปรเฟน กัดกร่อนตัวป้องกันความเจ็บปวดในสมอง คนที่ทานยาแก้ปวดเกินเดือนละ 30 เม็ด และมีอาการปวดหัว อาจเป็นไปได้ว่าเป็นอาการปวดหัวจากยาแก้ปวด การทานยาเป็นปริมาณมาก ยังส่งผลเสียต่อสุขภาพด้วย

บรรเทาอาการปวด หยุดกินยา และเตรียมใจรับผลกระทบระยะสั้นโดยฉับพลัน หลังจากหยุดยา คุณจะเกิดอาการคลื่นใส้ นอนไม่หลับ ประมาณ 2 สัปดาห์ ให้ร่างกายได้กำจัดสารส่วนเกินออกไป และจะเริ่มดีขึ้นจนหายปวดหัว

7. ปวดหัวเพราะความโกรธ

อาการปวดหัวประเภทนี้เกิดจากการเก็บกดอารมณ์ โดยมีการค้นคว้าจากมหาวิทยาลัยเซนต์หลุยส์ชี้ชัดให้เห็นถึงอาการปวดหัวประเภทนี้ ซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพจิต

บรรเทาอาการปวดเมื่อปัญหาอยู่ที่ความโกรธ การฝึกฝนตัวเองให้ปล่อยวางสิ่งที่อยู่เหนือการควบคุมของเราจะช่วยให้เราสามารถปรับพฤติกรรม อารมณ์ของตัวเองได้ดีขึ้น อย่าลืมว่าการระบายความโกรธออกมา หลายครั้งไม่ใช่ทางออกที่ดี แต่อาจทำให้คุณมีปัญหาใหม่เพิ่มขึ้นกับคนรอบข้างได้

สิ่งที่ต้องระวังเพิ่มเติมสำหรับผู้หญิง คือ ความโกรธและความเครียดอาจทำให้สาวๆ มีปัญหาขนาดหน้าท้องจากฮอร์โมนความเครียด ทำให้ต้องไปหาวิธีลดหน้าท้องเพิ่มเติมก็เป็นได้

8. ปวดหัวจากอาหารบางประเภท

อาหารและขนมบางประเภทมีตัวกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการไมเกรน เช่น ชีส กาแฟ ชา ช็อกโกแลต ฯลฯ

บรรเทาอาการปวด เริ่มต้นจากการสังเกตว่าคุณมีอาการปวดหัวจากอาหารหรือขนมชนิดไหน โดยอาจใช้วิธีจดบันทึกเป็นรายตัว และดูอาการที่เกิดขึ้น ก่อนตัดสินใจงดจากอาหารประเภทที่เป็นตัวกระตุ้นให้คุณปวดหัว

รู้อย่างนี้แล้ว ลองวินิจฉัยเองเบื้องต้น น่าจะได้คำตอบกันบ้าง ดูแลตัวเองให้ดีก่อน ไม่ไหวจริง ๆ ค่อยไปหาหมอนะ