เผยพระราชพิธีอภิเษกสมรส “กษัตริย์จิกมี” กับหญิงสามัญชน “น.ส.เจตซัน เปมา” จัดเรียบง่ายแต่งดงามด้วยสีสรรและราชประเพณีอันเก่าแก่ของ “ภูฏาน"
วันนี้ (13 ต.ค.)สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากเมืองพูนาคา ประเทศภูฏาน ว่า สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก แห่งราชอาณาจักรภูฏาน ซึ่งมีพระชนมายุ 31 พรรษา ได้เข้าพิธีอภิเษกสมรสกับพระคู่หมั้นหญิงสามัญชน น.ส.เจตซุน เปมา วัย 21 ปี ตามราชประเพณีโบราณของชาวภูฏานภายในพระอารามหลวงของป้อมปราการเก่าแก่ในเมืองพูนาคา เมืองหลวงเก่าของภูฏาน เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ท่ามกลางความปิติยินดีของผสกนิกร 700,000 คน ซึ่งเป็นพระราชพิธีที่เรียบง่ายแต่ก็งดงามด้วยสีสรรและวัฒนธรรมอันเก่าแก่ของประเทศบนเทือกเขาหิมาลัยแห่งนี้
พระราชพิธีอภิเษกสมรส เริ่มขึ้นในเวลา 08.20 น.ของวันพฤหัสบดีตามเวลาท้องถิ่น และเป็นมงคลฤกษ์ตามที่โหรหลวงถวาย โดยสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี ฉลองพระองค์ในชุดแต่งกายประจำชาติตามราชประเพณี เสด็จลงมาจากราชบัลลังก์ทอง ต่อหน้าพระพุทธรูปขนาดใหญ่ เพื่อสวมมงกุฎไหมทองบนศีรษะของพระคู่หมั้น น.ส.เจตซัน เปมา โดยทรงแย้มพระสรวลด้วยความปิติยินดียิ่ง จากนั้น พระสงฆ์สวดมงคลคาถา แล้วขึ้นประทับบนราชบัลลังก์เคียงข้างสมเด็จพระราชาธิบดี ในฐานะพระราชินีองค์ใหม่แห่งภูฎาน
ภายในสถานที่ประกอบพระราชพิธีอภิเษกสมรส มีสมเด็จพระสังฆราชทำหน้าที่ประธาน ซึ่งก็เป็นพระราชพิธีอันบริสุทธิ์สวยงาม ซึ่งมีการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ของทางการ และแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงเมื่อเทียบกับพิธีเษกสมรสของเจ้าชายวิลเลียม กับ น.ส.เคท มิดเดิลตัน แห่งราชวงศ์อังกฤษ เพราะไม่มีเจ้าชายต่างชาติ หรือประมุขต่างชาติ ได้รับเชิญเข้าร่วมพิธี มีเพียงพระบรมวงศานุวงศ์เท่านั้น ขณะที่ชาวบ้านหลายพันคนนั้นก็ต้องไปชมการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์แทนที่บริเวณทุ่งหญ้าใกล้กัน
สำหรับของขวัญที่พระราชบิดาของสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี ทรงมอบให้กับคู่บ่าวสาวนั้น เป็นชุดของขวัญ ประกอบด้วย กระจกเงา นมเปรี้ยว หญ้า และหอยสังข์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการถวายพระพร หมายถึงการมีพระชนมายุยิ่งยืนนาน พระสติปัญญา ความสะอาดบริสุทธิ์ และ ความปรารถนาดีอื่นๆ ในพระราชพิธีอภิเษกสมรส ซึ่งผสกนิกรได้ถวายความยินดีแด่กษัตริย์ผู้ทรงพระเยาว์แห่งภูฏาน ซึ่งมีพระจริยาวัตรงดงาม และทรงครองความเป็นโสดมาจนถึงพระชนมายุ 31 พรรษา และในที่สุดพระองค์ก็สามารถหาเจ้าสาวแม้จะเป็นหญิงสามัญชนและอายุห่างถึง 10 ปี แต่ก็ทรงสมหวังและสามารถสืบทอดราชบัลลังก์ได้อย่างสมบูรณ์ ทรงสร้างครอบครัวของพระองค์ขึ้นมาได้ หลังจากเสด็จขึ้นครองราชย์บัลลังก์ต่อจากพระราชบิดาเมื่อปี 2551
สำหรับประเทศภูฏานหรือดินแดนแห่งมังกรสายฟ้านั้นไม่อนุญาตให้มีโทรทัศน์ต่างชาติเข้ามาจนกระทั่งปี 2542 และเป็นประเทศเดียวในโลกซึ่งรัฐบาลใช้ดัชนีความสุขมวลรวมสำหรับประชาชนแทนที่จะใช้ดัชนีวัดความเติบโตทางเศรษฐกิจ นายคาร์มา ชิตีม ประธานคณะกรรมการดัชนีความสุขมวลรวม กล่าวว่า พระราชพิธีอภิเษกสมรสทำให้ชาวภูฏานมีความสุขเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน ทั้งสองพระองค์ยังทรงมีหมายกำหนดการที่จะปรากฏพระองค์พร้อมกันต่อหน้าสาธารชนเป็นครั้งแรก ในงานฉลองพระราชพิธีอภิเษกสมรส ที่สนามกีฬาในกรุงทิมพู ในวันเสาร์ที่ 15 ต.ค.นี้
ก่อนหน้านี้ นายดอร์จิ วังชุก เจ้าหน้าที่แห่งสำนักข่าวประจำพระราชวังชี้แจงว่า สมเด็จพระราชาธิบดีทรงแจ้งต่อรัฐบาล ว่าไม่ต้องวางแผนและฉลองพระราชพิธีอภิเษกสมรสให้ใหญ่โตมากนัก เพราะภูฏานเป็นประเทศเล็กๆ และทรงมีพระประสงค์จะให้พิธีดำเนินไปอย่างเป็นการส่วนพระองค์มากกว่า ซึ่งทางด้านของสำนักพระราชวังก็ไม่ได้มีการเชิญผู้นำประเทศ รวมถึงราชวงศ์อื่นๆมาเข้าร่วมงาน ตามพระประสงค์ของสมเด็จพระราชาธิบดี