ข้อควรเว้น ถ้าไม่อยากเป็น ผู้หญิงน่าเบื่อ
ผู้หญิงบางคน ( อาจรวมถึงตัวคุณเองด้วยก็ได้นะคะ ) ชอบโวยวาย ว้ายกรี๊ดในทำนองว่า “ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดนี่นา แล้วทำไมทั้งเพื่อน ทั้งแฟนถึงได้ซิ่งหนีกันไปหมด?” “เอ๊ะ! เราก็ดีกับเขาสารพัดอย่าง แต่ไหงมองเราเป็นยัยตัวแสบ ก็ไม่รู้ซินะ?”
เอาเป็นว่า ถ้าเพื่อนๆ ของคุณนัดกันไปช้อปปิ้ง ดูหนัง ไปปิคนิค หรือว่าไปเชียร์กีฬา ฯลฯ แล้วไม่บอก ไม่ชวนคุณไปด้วย หรือว่าเขาคุยกันอยู่กิ๊วก๊าวระรื่นเชียว พอคุณเข้าไปร่วมด้วยสักพักเดียวเลยกร่อยกันหมด หรือผู้ชายคนที่คุณรักคุณ เข้ามารักได้ไม่นานเท่าไร พอรู้ว่าคุณเป็นยังไงเขาก็หายหัวไป
อย่างนี้ล่ะก็คุณต้องพิจารณาตัวเองแล้วละคะว่า ตัวคุณน่ะมี “โทษสมบัติ” เหล่านี้บ้างหรือเปล่า
เคร่งเครียดซีเรียสจัด
ขอให้เชื่อเถอะว่าคนที่มีอารมณ์ขันสามารถทำให้คนอื่นหัวเราะไปได้น่ะ ใครๆ ก็อยากเข้าวง แล้วคุณล่ะเคยเล่าเรื่องสนุกๆ กุ๊กกิ๊กให้เพื่อนคิกคักบ้างหรือเปล่า ก็ไม่ต้องถึงกับขำก๊ากเป็นตลกคาเฟ่หรอก แค่ให้ยิ้มหัวกันได้ก็เป็นเสน่ห์แล้ว แต่ถ้าอยู่ในที่ทำงาน คุณก็หน้าเครียดวางท่าเอางานเอาการซะเต็มประดา พอเลิกงานคุณก็ยังวางหน้าอย่างนั้นอีก เฉยชามึนตึง ไม่รู้ที่เล่นทีจริงใครทักก็พูดด้วยอย่างแกนๆ ไม่มีมนุษย์สัมพันธ์ ฯลฯ ลองเป็นแบบนี้ก็ไม่นานหรอกใครๆ จะตีกรรเชียงออกห่างจากคุณ เพราะหาความรื่นรมย์ไม่เจอเลยสักกระติ๊ด...เซ็งค่ะ
ขบกัดสะบัดเขี้ยว
มีนิสัยชอบจับผิดคนอื่น แล้วก็วิพากษ์วิจารณ์ออกมาตรงๆหรือเก็บเอาไปนินทาลับหลัง ถึงแม้ว่าคุณจะรู้จริงแล้วอดวิจารณ์ออกมามาได้ หรือว่าวิจารณ์เพราะคุณขี้อิจฉามีปมด้อยให้ใครดีใครเด่นไม่ได้ ต้องหาเหตุมาตำหนิติเตียนจนได้ แน่ล่ะ! คนที่ฟังคุณอยู่ก็ย่อมเอิ๊กอ๊ากสะอกสะใจไปด้วย แต่แล้วพวกที่ฟังนั้นแหละจะค่อยๆ ขยาดปากคุณ ไม่อยากจะคบด้วยเพราะเกรงว่าจะถูกคุณเก็บไปเป็นเหยื่อลับหลังไงคะ
ชอบจุ้นจ้านสั่งสอน
พวกนี้น่าจะไปเป็นอาจารย์แนะแนวหรือคุมห้องปฎิบัติการซะให้รู้แล้วรู้รอด เพราะไปที่ไหนก็อดไม่ได้ที่จะแนะนำสั่งสอนเช่น ไปบ้านเพื่อนก็เล็งแลไปทั่วห้องรับแขก แล้วก็แนะเชียวว่าม่านหน้าต่างไม่เหมาะยังไง โต๊ะรับแขกตั้งมุมนี้ไม่เหมาะ ตู้โชว์ใบนั้นก็ไม่เข้ากับเครื่องลายครามที่อยู่ในตู้ ฯลฯ ต้องยังงั้นยังงี้ถึงจะถูกต้อง บางทีแนะไปถึงเรื่องอาชีพของสามี เพื่อน และการเรียนของลูกเพื่อนด้วยกันอีกแน่ะ ว่าควรทำไอ้โน่นจะรวยเร็วกว่า หรือว่าเรียนไอ้นี่จะหางานทำง่ายกว่า ชะดีชะร้ายกับสั่งสอนเพื่อนผู้เป็นเจ้าของบ้านว่า เธอต้องอ้วนกว่านี้อีกนิดหรือผอมกว่านี้อีกสักหน่อย ไม่งั้นฝาละมีเธอไปมีเมียน้อยแน่ๆ เฮ้อ...อีแบบนี้ใครอยากจะเปิดประตูต้อนรับในคราวต่อไปอีกละคะ...ถามตรงๆ เถอะ
ช่างติแถมขี้บ่น
นี่ก็เป็นคนอีกประเภทหนึ่งที่ทำลายเสน่ห์ของตัวเองให้เหือดหายไปได้อย่างชะงัดดีนัก ซึ่งโทษใครไม่ได้นอกจากตัวเอง เพราะไม่มีใครเขาจ้างวานใช้เลยสักนิกเดียว แต่เกิดขึ้นเพราะตัวเราเอง “จิตไม่ว่าง” แถม “ผีเจาะปาก” มาให้พูด คนประเภทนี้เห็นอะไรนิดหน่อยก็สามารถติได้เป็นคุ้งเป็นแคว เรียกว่าอะไรผ่านเข้ามาในสายเป็นจับมาเป็นข้อติฉินได้หมด จะมีมูลความจริงหรือเปล่า สมเหตุสมผลหรือไม่ ไม่สนใจ ขอให้ได้ติได้ประเมินค่าในขั้นต่ำหรือในแง่ลบไว้ก่อนเป็นพอใจ อีกพวกหนึ่งเป็นพวกที่ไม่ติอะไรตรงๆ หรือรุ่นแรง แต่ชอบบ่น บ่นได้สารพัดเรื่อง ขี้หมูรา ขี้หมาแห้ง ฝนตกก็บ่นหยุดก็บ่นอีก เช่น เดินเข้าไปในกลุ่มเพื่อนๆ ที่เขากำลังคุยกันเพลินๆ เรื่องอะไรอยู่ก็ไม่สนใจแล้วเปิดปากบ่นเรื่องรถติดทำให้มาช้าเป็นวรรคเป็นเวร แล้วก็บ่นต่อเรื่องแอร์ในห้องทำไมไม่ค่อยเย็น... โอ๊ย! สารพัดจะหยิบยกขึ้นมาบ่น แล้วเพื่อนหน้าไหนล่ะคะจะทนฟัง คนอย่างนี้แหละที่เพื่อนจะหายหน้าไปทีละคนสองคนจนหมดเพื่อน ถ้ามีสามี...สามีอาจจะขอปลีกวิเวกไปนั่งวิปัสสนาในคาราโอเกะก็ได้ สบายหูกว่าฟังเสียงบ่นเยอะเลย
ไม่เห็นความสำคัญของใคร
คติเก่าๆ ที่ยังขลังอยู่เสมอคือ ถ้าอยากให้เขารักคุณ คุณก็ต้องรักเขาก่อน เป็นจิตวิทยาขั้นพื้นฐานเลยทีเดียว...หากคุณต้องการเป็นที่รักของใคร คุณก็ต้องรู้จักเป็นผู้ฟังที่ดีในขณะที่เขาพูด แสดงความสนใจในสิ่งที่เขาพูดเล่า ถ้าเสริมคำถามที่เหมาะเจาะได้ด้วยยิ่งดี แต่ถ้าขณะที่เขาพูดอยู่นั่นคุณทำเป็นเมินเฉย ไม่ใส่ใจที่จะฟังหรือเมินมองไปทางอื่น ทำเหมือนกับว่าที่เขาพูดอยู่นั้นเป็นเสียงนกแก้วนกขุนทองไม่เห็นจะน่าสนใจเลย ถ้าคุณยังทำอย่างนี้กับหลายๆ คน อีกหน่อยคุณก็จะกลายเป็นคนที่ถูกเมินเหมือนกัน ในเมื่อคุณไม่เห็นความสำคัญของคนอื่นได้ คนอื่นเขาก็คิดและทำอย่างคุณเป็นเหมือนกัน...เกลือจิ้มเกลือว่างั้นเถอะ
อะไรๆ ก็รู้ไปหมด
ความรอบรู้ของคนเราน่ะพอจะแบ่งออกเป็นได้ 2 ประการคือ “รู้เรื่องชาวบ้าน” ใครทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่โดยเฉพาะเรื่องไม่ดีไม่งาม คุณทำเป็นรู้หมด แถมยังทำตัวเป็นหอกระจายข่าวเอาไปนินทาโพนทะนาให้คนอื่นๆ รู้ต่ออีกด้วย ซึ่งใครๆ ก็อยากฟังเพราะเรื่องพรรค์นี้อร่อยรูหู แต่ลึกๆ ลงไปแล้ว พวกที่ฟังคุณอยู่นั้นก็ชักไม่ไว้วางใจคุณ ไม่อยากจะคบด้วย ถ้าต้องคบก็คบอย่างผิวเผินเพราะเกรงว่าถ้าสนิทมากๆ แล้วคุณจะเอาความไม่ดีของเขาไปแฉโพยในวงอื่น ส่วนอีกประเภทหนึ่งคือ “รู้เรื่องเนื้อหาสาระทั่วไป” เช่น ข่าวสารบ้านเมือง เรื่องศิลปะบังเทิง กีฬา แฟชั่น ดูโหงวเฮ้งก็ได้ ดูลายมือก็เป็น ฯลฯ ครอบจักรวาลไปหมดจนกลายเป็นสารานุกรมเคลื่อนที่ ถามอะไรตอบได้หมด ซึ่งก็น่าภาคภูมิใจไม่น้อยที่มีภูมิรู้ แต่บางทีการแกล้งไม่รู้ซะบ้างจะทำให้คุณมีเสน่ห์มากขึ้นไม่ใช่พอ ใครๆ พูดอะไรขึ้นมาคุณก็แจงเพิ่มแบบว่ารู้จริงรู้สึกมากกว่า หรือใครพูดอะไรคลาดเคลื่อนนิดๆ หน่อยๆ คุณก็ไม่ยอมปล่อยไปแต่กลับหักล้างแก้ไขทันควันโดยไม่เห็นแก่หน้าใครเลย...ระวังเถอะสักวันหนึ่งจะไม่เหลือใครนั่งฟังความรู้ของคุณเลยสักคน แล้วจะเหงาปาก เว้นเสียแต่คุณจะเปลี่ยนอาชีพไปเป็นครูบาอาจารย์ก็แล้วไป
ถือตัวเองเป็นใหญ่
ถ้าคุณคาดหวังจะให้ทุกคนเออออห่อหมกไปกับคุณทุกอย่าง เห็นพ้องด้วยกับคุณทุกประเด็นที่คุณเสนอ หรือชี้แนะหรือนิยมชมชอบในสิ่งเดียวกับคุณ ฯลฯ นั้นถือได้ว่าคุณคาดหวังมากเกินไปแล้ว เพราะแต่ละคนก็มีสติปัญญา มีความคิดความเชื่อ และรสนิยมเป็นของตัวเอง พอไม่ได้ดังใจคุณก็โกรธเขา โดยไม่ยอมเปิดใจให้กว้างฟังเหตุผลของคนอื่นๆ ถ้าคุณยังถืออัตตาธิปไตยเหนือประชาธิปไตยอย่างนี้ละก็ต่อไปคุณก็ได้อยู่คนเดียวสมใจ เพราะไม่มีใครยอมให้คุณจูงจมูกหรอก หากว่าเขาไม่ได้หวังผลประโยชน์อะไรบางอย่างจากคุณ ที่มันคุ้มกับการแกล้งโง่!
มองโลกในแง่ร้าย
อันที่จริงคนที่มองโลกหรือมองคนอื่นในแง่ร้ายไว้ก่อนนั้น พอจะกล้อมแกล้มอ้างได้ว่าเป็นคนถี่ถ้วนรอบคอบไม่ประมาณ เป็นการกันไว้ดีกว่าแก้ นั้นก็ไม่ว่ากัน แต่ถ้าคุณเห็นอะไรเลวร้ายน่าหวดระแวงขวางหูขวางตาหรือไม่น่าไว้วางใจไปหมด เช่น เพื่อนจริงใจด้วยคุณก็หาว่าเขาเสแสร้งแกล้งทำ เพื่อนเก่าแวะมาเยี่ยมก็วิตกร้อนรุ่มว่าเขาจะมายืมเงินหรือเปล่า อะไรทำนองนี้ จะทำให้คุณขาดเพื่อนลงไปเรื่อยๆ เพราะคุณเห็นใครก็ระแวงไปหมดจนไม่อยากคบใคร ถ้าเป็นอย่างนี้ล่ะก็ ตัวคุณเองนั้นแหละจะเสียทั้งเพื่อนและเสียทั้งสุขภาพจิต ลองหัดมองโลกและคนอื่นในแง่ดีบ้าง ถึงแม้พวกเขาจะมีส่วนไม่ดีอยู่บ้างก็ควรอภัยซะ โดยถือคติที่ว่า ไม่มีใครดีพร้อม แม้แต่ตัวเราเองถ้าทำได้อย่างนี้คุณก็จะเป็นคนน่าคบในหมู่เพื่อน และคุณเองก็จะคบคนได้ง่ายมากขึ้นด้วย
โอเว่อร์เกินไป
จะว่าไปก็เหมือนพวกที่ไม่รู้จักทางสายกลาง หรือไม่รู้จักกาลเทศะนั้นแหละ คือชอบทำอะไรที่มันเกินพอดี...แต่ตัวหรูเริ่ดไปซะทุกงาน อวดเก่ง อวดรู้จนน่าหมั่นไส้ พูดมาก หัวเราะมาก ร้องไห้มากจนน่ารำคาญ เพราะไม่สมเหตุผล เสแสร้งประจบสอพลอจนจับได้ ชวนให้เอียน บ้างก็บ้าอำนาจหลงตัวเอง ยกตนข่มท่าน หรือชอบแนะชอบสอนจนไม่มีใครอยากเข้าใก้ล ฯลฯ แล้วจะโทษใครถ้าต้องถูกปล่อยเกาะ
เพียงแค่นี้ก็คงเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนเพียงพอแล้วนะคะว่าทำไมบางคนจึงมีเพื่อนน้อยลงเรื่อยๆ ลองสำรวจตัวเองนะคะ ถ้ามีข้อหนึ่งข้อใดหรือหลายข้ออยู่ในพฤติกรรมของคุณละก็ เปลี่ยนเสียเถอะค่ะ แล้วคุณจะกลายเป็นที่รักของใครต่อใครเพิ่มมากขึ้นอย่างนึกไม่ถึงทีเดียว...เริ่มวันนี้เลยนะคะ..??
ผู้หญิงนะคะดอทคอม