ตอนที่พวกเรายังเป็นเด็กเล็ก ๆ เวลาที่ฟังนิทานที่พ่อกับแม่เล่าให้ฟังก่อนนอน พอได้ยินคำว่า "...แล้วทั้งสองก็อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา..." พวกเราก็จะยิ้มอย่างสบายใจที่ในที่สุดเจ้าชายกับเจ้าหญิงก็ได้ครองคู่กัน อย่างสงบสุขเสียที และนิทานเรื่องนั้นก็จบบริบูรณ์ลงที่ตรงนั้นก่อนที่จะได้เริ่มฟังเรื่องใหม่ ในคืนต่อไป
บางทีนิทานที่ลงเอยด้วยการครองคู่กันอย่างแสนหวานของเจ้าชายเจ้าหญิงนี้เองที่ อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้พวกเราฝังใจมาตั้งแต่เด็ก จนมองการแต่งงานว่าเป็นจุดหมายปลายทางของความรัก คนสองคนที่รักกันพอถึงวันหนึ่งก็จะต้องแต่งงานกัน สาว ๆ เกือบทุกคนฝันถึงชุดแต่งงาน ฝันถึงภาพงานเลี้ยงฉลองพิธีแต่งงานของตัว ว่าจะออกมางดงามแสนหวานอย่างไรแค่ไหน เค้กแต่งงานจะสูงกี่ชั้น เรือนหอรอรักจะเป็นอย่างไร จะไปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์กันที่ไหน ส่วนภาพต่อจากนั้นดูจะเป็นสีชมพูจัดเสียจนมองไม่เห็นรายละเอียดอะไรอีก
รายละเอียดที่ว่านั้นก็คือ ชีวิตจริงที่ยังต้องดำเนินต่อไป ชีวิต จริงของคนสองคนซึ่งมาจากต่างที่ ต่างการอบรมเลี้ยงดู ต่างสภาพแวดล้อม ฯลฯ ที่ต้องมาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน เห็นหน้ากันทั้งวันและทุกวัน
ก่อนแต่งงานกับหลังแต่งงานนี่อะไร ๆ ก็ต่างกันมาก จริง ๆ พวกเราก็รู้ ๆ กันดีนั่นล่ะ แต่ทำเป็นไม่รู้เสียอย่างนั้น อย่างตอนที่ยังเป็นแฟนกัน หนุ่มเขาก็หมั่นมาหามาเอาใจดูแลสารพัดทำให้ได้ทุกอย่าง สาวก็ทำตัวเรียบร้อยนุ่มนิ่มเป็นผู้ตามที่ดี ตัวเองว่าไงเค้าก็ว่างั้น เรียกว่าต่างคนต่างทำคะแนนเพื่อให้อีกฝ่ายประทับใจ พอแต่งงานกันสักพัก ประมาณว่าพ้นระยะฮันนีมูนแล้วก็กลายเป็นอีกเรื่อง ฝ่ายชายจากที่เคยเดินจูงก็กลายเป็นเดินนำ ไปไหนเหมือนไปคนเดียว ส่วนสาวเจ้าก็เลื่อนวิทยฐานะจากช้างเท้าหลังมาเป็นควาญช้างโดยสมบูรณ์
เพราะความจริงเป็นอย่างนี้ คำว่า Honeymoon Period นั้นเลยถูกใช้เป็นสำนวน หมายถึงระยะเวลาช่วงแรก ๆ ที่คนแปลกหน้า ซึ่งมาทำงานหรือทำกิจกรรมใด ๆ ร่วมกัน จะต่างฝ่ายต่างถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน แต่พอพ้นช่วงหวานนี่ไปแล้วก็ตัวใครตัวมัน มีอะไรผิดหูผิดตาก็ใส่กันแรง ๆ ไม่มียั้ง ไม่มีเกรงใจกันอีกต่อไปแล้ว
อีกอย่างหนึ่งคือ ผู้หญิงมักจะคาดหวังว่าหลังแต่งงานแล้วผู้ชายของตัวจะเปลี่ยนแปลง (ด้วยฝีมือของเธอ) เช่น ถ้าก่อนแต่งงานเขาเจ้าชู้หรือเป็นนักดื่ม สาวก็จะยอมหยวน ๆ ไปก่อนโดยเชื่อว่าเธอจะสามารถแก้นิสัยนี้ของเขาหลังแต่งงานกันแล้วได้ โดยถือเอาความสำเร็จขั้นแรกจากการบังคับเอานามสกุลของเขามาใช้ได้นั้นเป็น บรรทัดฐาน
ส่วนผู้ชายเองก็มักจะคาดหวังว่าหลังแต่งงานแล้ว ผู้หญิงของตัวจะไม่เปลี่ยนแปลงไปจากผู้ตามที่น่ารักอย่างที่เคยเห็นและเป็นอยู่ ซึ่งปรากฏผลออกมาว่าส่วนใหญ่จะผิดหวังกันทั้งคู่ เพราะหนุ่มก็ยังคงดื่มต่อไป แถมยังหนักขึ้นกว่าเดิมเพราะทีนี้หนีไปเจ้าชู้นอกบ้าน วันหนึ่ง ๆ แทบจะไม่ได้เห็นหน้า ส่วนสาวน้อยนุ่มนิ่มอ่อนหวานที่แสนดีก็กลับเปลี่ยนไป กลายเป็นผบ.ทบ. หรือผู้บัญชาการสูงสุดที่บ้านแทน แล้วก็มานั่งบ่นกันว่าเธอเปลี่ยนไป...เธอเปลี่ยนไป ทั้ง ๆ ที่ความจริงก็ไม่ได้เปลี่ยนไปตรงไหน ก็เป็นอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว อยากไม่เห็นเองนี่นา
นี่ ยังไม่นับถึงเรื่องนิสัย หรือความเคยชินในกิจวัตรประจำวันต่างๆ ที่ตอนเป็นแฟนกันนั้นมิอาจล่วงรู้ เพราะต่างก็ปิดเป็นความลับระดับสุดยอด ประมาณว่าถ้าจะเข้าถึงชั้นความลับนี้ได้ต้องเป็นข้าราชการระดับ 10 หรือระดับปลัดกระทรวงขึ้นไปอะไรทำนองนั้น พอได้มาอยู่ด้วยกันทั้งวันทุกวันแล้วทีนี้ความลับก็รั่วไหล เพราะต้องเจอกันตลอดเวลา ก็เลยเพิ่งจะได้เห็นภาพหนุ่มหล่อมาดเนี้ยบของดิฉันเดินแคะฟันไปมารอบบ้าน หรือเห็นสาวน้อยคิกขุสไตล์เกาหลีของผมเข้านอนพร้อมโรลม้วนผมทั้งหัวและพอก ครีมแปะมะนาวเต็มหน้า ดึก ๆ ถ้าหนุ่มตื่นมากำลังงัวเงียไม่ทันตั้งตัวเหลือบไปเห็นเข้าก็อาจช็อก
ที่พูดอย่างนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าการแต่งงานไม่ดี การที่คนสองคนซึ่งรักกันตัดสินใจที่จะมาใช้ชีวิตร่วมกันนั้นดีแน่ เพียงแต่ว่าต้อง เข้าใจไว้ด้วยว่า คู่แต่งงานของเราก็คือคนธรรมดาที่มีหลายด้านหลายมุม ควรที่จะทำความเข้าใจและยอมรับในตัวตนที่แท้จริงของแต่ละคน ไม่ใช่แค่ยอมรับเพียงภาพสวย ๆ ที่ใช้เพื่อโฆษณาชวนเชื่อกันในตอนที่ยังเป็นแฟนกันเท่านั้น
ที่สุดแล้วก็คงเป็นเรื่องที่ทั้งหนุ่มและสาวควรพยายามหานิทานก่อนนอนภาคสองของ แต่ละเรื่องมาอ่าน ศึกษาดูว่าเจ้าชายเจ้าหญิงเมื่อกลายเป็นพ่อบ้านแม่บ้านแล้วเขาทำอะไรกัน อย่างไร หรือปรับตัวกันแบบไหน
เพราะ เรื่องราวทั้งหมดของคนสองคนที่มาอยู่ร่วมกันนั้น มันเพิ่งจะเริ่มต้นหลังคำประกาศในพิธีแต่งงานที่ว่า I now pronounce you …husband and wife... นี่เอง
ที่มา ... MomyPedia
จริงไหม...ตัวตนของคู่ชีวิต เปิดเผยหลังแต่งงาน
เครดิต :
ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!