
จะเลิกวาดวิมานในอากาศได้อย่างไร ในเมื่อเป็นคนชอบจินตนาการ แล้วก็มักจะมีตัวละครสองสามตัวอยู่ในหัว ดำเนินเรื่องไปได้แบบไม่รู้จบหล่อเลี้ยงกิเลสเราไว้ ทั้งที่ลึกๆ อึดอัด ไม่ชอบที่ตัวเองเป็นแบบนี้เลย (Parichart Ketsena)
ขอให้มองออกมาจากข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความฝันยามหลับก่อนก็แล้วกัน แรงผลักดันให้เกิดความฝันยามหลับนั้น ส่วนหนึ่งเป็นการเติมเต็มความอยากที่เป็นไปไม่ได้ในโลกความจริง ใจเราเลยปรุงแต่งสีสัน บันดาลนิมิตหวานแหววเป็นตุเป็นตะขึ้นมาเสพให้สมใจ
แต่ความฝันชั่วข้ามคืนที่สมใจนึกนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย แล้วแต่ละครั้งที่เกิดก็ไม่นาน สรุปคือยังฝันไม่พอ เราเลยต้องตื่นขึ้นมาสร้างความฝันต่อด้วยวิธีจงใจจินตนาการเอา แบบที่เรียกว่าสร้างวิมานในอากาศนั่นแหละ แม้จะไม่เป็นตุเป็นตะเท่าฝันตอนหลับก็ยังดี กำขี้ดีกว่ากำตดว่างั้นเถอะ
การสร้างวิมานในอากาศนั้นมีส่วนดีตรงที่ทำให้เราไม่ต้องทรมานกับโลกความจริงที่กระด้าง ไม่ได้อย่างใจ อยากมีคู่รักแบบไหนก็จัดฉากให้มาเจอเราหวานหยดขนาดไหนก็ได้ มันทำให้ใจเรานุ่มนวลลง ไม่แข็งเป็นหินเหมือนตอนเอาแต่เผชิญชีวิตแบบซังกะตายไปวันๆ
แต่วิมานในอากาศก็มีส่วนเสียตรงที่ถ้าพาเพลินเกินงาม ใจนุ่มนิ่มเกินพอดี ก็กลายเป็นอ่อนระทวยย้วยยืด เหลวเป๋วจนจับอะไรในโลกความจริงไม่ติดสักอย่าง อะไรมันจะทรมานไปกว่าชีวิตที่มีตัวจริงอยู่แค่ครึ่งเดียว อีกครึ่งหนึ่งเป็นแค่หมอกควันเลือนราง จับต้นชนปลายไม่ติด จนเหมือนได้ชื่อว่ามีตัวตนที่ไร้สาระเล่า?
แล้ววิมานในอากาศยุคเรานี่นะครับ ก็มีเครื่องช่วยสร้างให้เหมือนจับต้องได้รำไรแค่เอื้อม ไม่ใช่อะไรอื่น ภาพยนตร์และละครที่มีแสงสีเสียงเร้ากิเลสได้รุนแรงนั่นแหละ ยิ่งรู้สึกอินขณะดูมากเท่าไร ก็ขอให้ทราบเลยว่ายิ่งกระตุ้นให้เกิดจินตนาการอยากได้ อยากมี อยากดี อยากเป็นมากขึ้นเท่านั้น
บางคนสร้างจินตนาการขึ้นมาไม่ใช่เพราะเหงา แต่เพราะอยากได้อย่างที่เห็นดาราและนายแบบนางแบบ "แกล้งเป็นให้ดู" ในละคร ฉะนั้น งานนี้ "ความอยาก" จึงเป็นตัวการสำคัญครับ ไม่ใช่อะไรอื่น
รู้อย่างนี้แล้วได้อะไร? ได้เค้าเงื่อนว่าถ้าอยากแก้นิสัยชอบสร้างวิมานในอากาศ ก็ต้องสังเกตกันตรงนี้ ก่อนเริ่มคิดๆฝันๆ จะมีความอยากได้อยากดี ที่มาในรูปของแรงดันให้ปล่อยใจจากโลกความจริงตรงหน้า เข้าไปสู่อีกมิติหนึ่งทางใจ หากคุณรับรู้ถึงแรงกดดันชนิดนั้นได้แต่เนิ่นๆ หมอกควันคลุมเครือก็สลายตัวไปก่อนจะก่อตัวได้เต็มที่
พูดง่ายๆ ครับ รู้สึกถึงความอยาก แล้วจะเกิดสติ ใจจะไม่ลอยไปตามความอยาก คือไม่ต้องไปห้ามใจหรือฝืนใจบังคับไม่ให้ฝันนะ แค่ทำความรู้จักหน้าตาความอยากว่ามันมีแรงกดดันอย่างไรให้ชัดก็พอแล้ว ดูเอาสนุก อย่าจริงจังมาก เพราะความสนุกจะทำให้เห็นชัดกว่าตอนเคร่งเครียด
ถ้าหากจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน ดูไม่ออกว่าแรงดันของความอยากมันเกิดขึ้นตอนไหน ก็ให้สังเกตสภาพทางใจที่เตลิดเปิดเปิงไปแล้วก็ได้ ขณะสร้างวิมานในอากาศ คุณจะรู้สึกเคลิ้มๆ มัวๆ เพราะจิตปกคลุมด้วยความคิดฟุ้งซ่าน ไม่อาจสัมผัสโลกได้เต็มร้อย จะหลับฝันก็ไม่ใช่ จะตาตื่นก็ไม่เชิง ความพร่ามัวของจิตจะบีบคั้นให้คุณรู้สึกไม่อยากยอมรับโลกความจริง ไม่อยากติดต่อยุ่งเกี่ยวกับโลกความจริง
เมื่อเห็นสภาพดังกล่าวตามจริง ก็เท่ากับคุณเกิดสติเห็นจิตบ้างแล้วครับ การมีสติเห็นความจริงทางจิตนั้นดีอย่างไร? มันดีตรงที่คุณมีสิทธิ์เห็นความจริงในขั้นต่อไป คือ ทุกอาการทางใจมีเหตุผลเสมอ ยิ่งสร้างวิมานในอากาศบ่อยขึ้นเท่าไร ใจจะมีแนวโน้มพร่ามัวมากขึ้นเท่านั้น
เห็นความจริงได้เรื่อยๆ จิตจะฉลาดขึ้นเรื่อยๆ ธรรมชาติของจิตมนุษย์นั้น ยิ่งเห็นโทษของสิ่งใดบ่อย จิตจะไม่อยากเข้าหาสิ่งนั้นมากนัก
ถ้ากิเลสมันถามว่าหยุดฝันแล้วจะเหลืออะไร? ให้ตอบกิเลสไปว่า "เหลือสติพอจะทำฝันที่เป็นไปได้ให้เกิดขึ้นจริง" นั่นแหละความสุขในชีวิตของแท้ล่ะ!
อย่าหยุดฝันที่จะทำความจริงให้ดีขึ้น แต่จงเลิกฝันจะหนีจากความจริงให้หมดแรงเปล่า
Love Attack เทศกาลความรักแบบนี้ บอกอ้อมๆให้เขารู้กัน
Chocolate Dreams สาวชั่งฝันและช็อคโกแลต กับหนุ่มหล่อ ไม่แน่คุณอาจจะได้เจอแบบนี้ก็ได้
Love You Like Crazy เพลงเพราะๆ ที่ถ้าส่งให้คนที่เรารัก โลกนี้ก็สีชมพูกันทีเดียว